ลอนดอน, 29 มีนาคม 2567 /PRNewswire/ -- ออมเดีย (Omdia) ได้เผยแพร่รายงานวิจัยฉบับล่าสุดในหัวข้อ "Small Medium Display Market Tracker" เพื่อติดตามความเคลื่อนไหวในตลาดจอแสดงผลขนาดเล็กและกลาง โดยพบว่าซัมซุง (Samsung) ยังคงรั้งตำแหน่งผู้นำในตลาดจอ AMOLED ขนาดเล็กและกลาง ซึ่งกวาดส่วนแบ่งตลาดไปได้ 43% ของทั้งหมด อย่างไรก็ตาม การที่ผู้ผลิตจอ AMOLED ในจีนมีการจัดส่งเพิ่มขึ้นมาก ทำให้ส่วนแบ่งการจัดส่งของซัมซุงลดลงเหลือไม่ถึง 50% เป็นครั้งแรก
ยอดจัดส่งจอ AMOLED ขนาดเล็กและกลาง (ไม่เกิน 9.0 นิ้ว) รวมทั้งหมดอยู่ที่ 842 ล้านชิ้นในปี 2566 เพิ่มขึ้น 11% เมื่อเทียบเป็นรายปี (YoY) โดยได้รับแรงหนุนจากกิจกรรมกลางแจ้งที่กลับมาฟื้นตัวอีกครั้งหลังการผ่อนคลายมาตรการควบคุมโรคโควิด-19 ประกอบกับความต้องการเปลี่ยนสมาร์ทโฟนสมรรถนะสูง เช่น iPhone 15
ซัมซุงซึ่งเป็นผู้ผลิตชั้นนำในตลาด AMOLED ยังคงรักษาตำแหน่งผู้นำไว้ได้อย่างเหนียวแน่น ด้วยยอดจัดส่ง 357 ล้านชิ้นในปี 2566 แต่มีส่วนแบ่งตลาดลดลงจาก 56% ในปี 2565 เหลือ 43% ในปี 2566
อย่างไรก็ดี ผู้ผลิต AMOLED สัญชาติจีนได้ปรับปรุงเทคโนโลยีการผลิตให้ดีขึ้น และมีการจัดส่งเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้ซัมซุงมีส่วนแบ่งตลาดลดลง ส่วนอันดับสองอย่างบีโออี (BOE) มีส่วนแบ่งตลาดเพิ่มขึ้นจาก 12% ในปี 2565 เป็น 15% ในปี 2566 ในขณะที่วิชันน็อกซ์ (Visionox) และเทียนหม่า (Tianma) ซึ่งอยู่ในอันดับที่สี่และห้าตามลำดับ ก็เติบโตขึ้นเช่นกัน โดยมีส่วนแบ่งเพิ่มขึ้นจาก 6% เป็น 9% และจาก 4% เป็น 8% ในปี 2566 ในทำนองเดียวกัน เอเวอร์ดิสเพลย์ (Everdisplay) และไชน่า สตาร์ (China Star) กวาดส่วนแบ่งตลาดมาได้มากขึ้น ในทางกลับกัน อันดับสามอย่างแอลจี ดิสเพลย์ (LG Display) มีการจัดส่งเพิ่มขึ้นในปี 2566 เมื่อเทียบกับปี 2565 แต่ถูกกดดันจากการที่ผู้ผลิตในจีนมีการจัดส่งเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ส่วนแบ่งลดลงจาก 11% ในปี 2565 เหลือ 10% ในปี 2566
ฮิโรชิ ฮายาเสะ (Hiroshi Hayase) ผู้จัดการฝ่ายวิจัย ประจำแผนกวิจัยจอแสดงผลของออมเดีย กล่าวว่า "ผู้ผลิตจอ AMOLED ในจีนที่ได้ยกระดับกำลังการผลิตและคุณภาพในการแสดงผลนั้น ต่างกวาดคำสั่งซื้อเพิ่มขึ้นได้อย่างรวดเร็วจากแบรนด์สมาร์ทโฟนจีน ด้วยเหตุนี้จึงจะเป็นเรื่องยากสำหรับบริษัทเกาหลีใต้อย่างซัมซุง ในการรักษาคำสั่งซื้อจอ AMOLED จากแบรนด์สมาร์ทโฟนจีน"
ซัมซุงได้เข้ามาเป็นผู้นำในการพัฒนาและผลิตเทคโนโลยีขั้นสูงจำนวนมาก เช่น เทคโนโลยี LTPO ที่ใช้พลังงานต่ำ และจอแสดงผล AMOLED แบบพับได้ อย่างไรก็ตาม ในปี 2566 บีโออีและผู้ผลิตจอ AMOLED รายอื่น ๆ ของจีน ก็ได้บุกตลาดเช่นกัน และได้เริ่มผลิตจอ AMOLED จำนวนมากที่นำเทคโนโลยี LTPO และเทคโนโลยีจอพับได้มาใช้ด้วย
คุณฮายาเสะ กล่าวสรุปว่า "เนื่องจากผู้ผลิตจอ AMOLED ของจีนเป็นที่สนใจอย่างมากเพื่อนำไปผลิตสมาร์ทโฟนในประเทศ บรรดาผู้ผลิตก็พร้อมเดินหน้าเพิ่มการจัดส่งและค่อย ๆ เก็บส่วนแบ่งการจัดส่งจนใกล้เคียงกับผู้นำในอุตสาหกรรมอย่างซัมซุงเข้ามาเรื่อย ๆ โดยสำหรับผู้ผลิตจอ AMOLED ของเกาหลีนั้น ความสามารถในการพัฒนาและจัดหาจอแสดงผล AMOLED ที่มีมูลค่าเพิ่มสูงขึ้นให้กับแบรนด์ที่ไม่ใช่แบรนด์จีน จะเป็นปัจจัยสำคัญในการรักษาส่วนแบ่งรายได้ในตลาดจอ AMOLED"
เกี่ยวกับออมเดีย
ออมเดีย (Omdia) เป็นกลุ่มวิจัยและให้คำปรึกษาทางเทคโนโลยีชั้นนำในเครือบริษัทอินฟอร์มา เทค (Informa Tech) โดยความรู้เชิงลึกของเราในด้านตลาดเทคโนโลยีประกอบกับข้อมูลเชิงลึกที่นำไปปฏิบัติได้จริงช่วยให้องค์กรต่าง ๆ สามารถตัดสินใจเรื่องการเติบโตทางธุรกิจได้อย่างชาญฉลาด
ฟาซิฮะห์ ข่าน (Fasiha Khan) อีเมล: Fasiha.khan@omdia.com
รูปภาพ - https://mma.prnasia.com/media2/2368606/Omdia_2023_Small_Medium_AMOLED.jpg?p=medium600
โลโก้ - https://mma.prnasia.com/media2/2369794/4612110/Omdia_Logo.jpg?p=medium600
คุณจ้าว ผู้ดำรงตำแหน่งประธานคณะกรรมาธิการสภาประชาชนแห่งชาติ เน้นย้ำว่าจีนกำลังดำเนินตามเส้นทางการพัฒนาคุณภาพสูง และกำลังดำเนินการปฏิรูปและเปิดประเทศ ซึ่งเขากล่าวว่าจะมอบโอกาสการพัฒนาที่ยิ่งใหญ่ให้กับเอเชียและโลก
'การลงทุนในประเทศจีนคือการลงทุนในอนาคต'
จีนได้ตั้งเป้าหมายการเติบโตทางเศรษฐกิจไว้ที่ประมาณร้อยละ 5 ในปี 2567 และผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) เติบโตขึ้นร้อยละ 5.2 ในปีที่แล้ว ซึ่งเป็นหนึ่งในตัวเลขที่สูงที่สุดในบรรดาประเทศเศรษฐกิจหลัก เศรษฐกิจจีนคิดเป็นประมาณหนึ่งในสามของการเติบโตทั่วโลก และปีที่แล้วกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (International Monetary Fund) คาดการณ์ว่าเมื่อ GDP ในประเทศจีน เพิ่มขึ้นร้อยละ 1 เศรษฐกิจประเทศอื่น ๆ ในเอเชียจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.3
เพื่อพลิกโฉมเศรษฐกิจและบรรลุการพัฒนาที่ยั่งยืน ขณะนี้จีนจึงกำลังดำเนินการปฏิรูปครั้งใหญ่ ตัวอย่างเช่น จีนได้ให้คำมั่นที่จะลดบัญชีรายการเครื่องจักรที่มีผลิตหรือประกอบในประเทศ ยกเลิกข้อจำกัดทั้งหมดเกี่ยวกับการเข้าถึงการลงทุนจากต่างประเทศในภาคการผลิต และดำเนินการตามหลักปฏิบัติเยี่ยงคนชาติต่อธุรกิจต่างชาติ
เมื่อวันที่ 22 มีนาคมที่ผ่านมา กระทรวงพาณิชย์ของจีนได้เผยแพร่บัญชีรายการเครื่องจักรที่มีผลิตหรือประกอบในประเทศบัญชีแรกสำหรับการค้าข้ามพรมแดนในภาคบริการในระดับชาติ ภาคส่วนที่ไม่อยู่ในบัญชีดังกล่าวจะเปิดให้ซัพพลายเออร์ด้านบริการจากต่างประเทศโดยปริยาย โดยอยู่ภายใต้เงื่อนไขเดียวกันกับซัพพลายเออร์บริการภายในประเทศ ซึ่งเป็นก้าวสำคัญสำหรับการเปิดประเทศของจีนต่อไป
จีนยังรับปากว่าจะปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สูงสุดก่อนปี 2573 และบรรลุความเป็นกลางคาร์บอนให้ได้ก่อนปี 2603 ข้อมูลอย่างเป็นทางการแสดงให้เห็นว่ากำลังการผลิตพลังงานแสงอาทิตย์ที่ติดตั้งของจีนคิดเป็นเกือบครึ่งหนึ่งของโลก โดยจำนวนรถยนต์พลังงานใหม่ (NEV) ที่จดทะเบียนในจีนมีสัดส่วนมากกว่าครึ่งหนึ่งของจำนวนรถยนต์พลังงานใหม่ทั่วโลก และการขยายตัวอย่างน้อยร้อยละ 25 นับตั้งแต่ต้นทศวรรษ 2000 (2543) ทั่วโลกมาจากประเทศจีน คุณจ้าวกล่าวว่าการพัฒนาสีเขียวและคาร์บอนต่ำของจีนคาดว่าจะช่วยหล่อเลี้ยงตลาดการลงทุนและการบริโภคมูลค่า 10 ล้านล้านหยวน (ประมาณ 1.4 ล้านล้านดอลลาร์) ในแต่ละปีได้
นอกจากนี้ บรรดาแรงขับเคลื่อนใหม่ของเศรษฐกิจจีนที่เกิดจากนวัตกรรมเทคโนโลยีก็กำลังโตพุ่งพรวดเช่นกัน ในการประชุมการพัฒนาประเทศจีน (China Development Forum) ที่เพิ่งเสร็จสิ้นไป นายกรัฐมนตรีจีนหลี่ เฉียง (Li Qiang) กล่าวว่ามูลค่าเพิ่มของอุตสาหกรรมเกิดใหม่เชิงกลยุทธ์ของจีนเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 7.6 ของ GDP เมื่อ 10 ปีที่แล้วมาอยู่ที่กว่าร้อยละ 13 ในปีที่แล้ว ขนาดของเศรษฐกิจดิจิทัลของจีนได้ทะลุ 50 ล้านล้านหยวนแล้ว และจีนมีกลุ่มนวัตกรรมวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีชั้นนำมากถึง 24 กลุ่มจาก 100 กลุ่มชั้นนำของโลก
"ศักยภาพของตลาดขนาดใหญ่มหึมาของจีนที่มีประชากรมากกว่า 1.4 พันล้านคนจะถูกปลดล็อกอีก" คุณจ้าวกล่าว "การลงทุนในประเทศจีนคือการลงทุนในอนาคต"
ความร่วมมือสำคัญยิ่งยวดต่อความเจริญรุ่งเรืองของโลก
คุณจ้าวยังความเห็นเชิงบวกต่อการพัฒนาของเอเชียในการประชุม โดยกล่าวว่าเอเชียเป็นภูมิภาคที่ "มีพลวัตและมีแววรุ่งที่สุดในโลก" แต่เขาเตือนว่าลัทธิกีดกันทางการค้าและแนวคิดแบบสงครามเย็นกำลังบั่นทอนความพยายามของบางประเทศในการพัฒนาและผลักไสโลกให้เข้าสู่การแบ่งฝักฝ่ายและการเผชิญหน้า
รายงานที่เผยแพร่โดย BFA Academy เมื่อวันอังคารที่ผ่านมาคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจเอเชียจะคงการเติบโตที่แข็งแกร่งในปี 2567 คิดเป็นร้อยละ 49 ของ GDP โลก และคาดว่าจะมีอัตราการเติบโตอยู่ที่ร้อยละ 4.5
รายงานฉบับดังกล่าวคาดการณ์ว่าแม้การเติบโตของเอเชียอาจเผชิญกับแรงกดดันจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ และปัจจัยอื่น ๆ แต่ปัจจัยเชิงบวก เช่น การค้าดิจิทัลที่เร่งตัวขึ้น การฟื้นตัวของการท่องเที่ยว และความก้าวหน้าของการรวมตัวทางเศรษฐกิจในระดับภูมิภาค เช่น ความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (Regional Comprehensive Economic Partnership) จะเพิ่มแรงกระตุ้นใหม่ให้กับการค้าและการลงทุนของเอเชีย
คุณจ้าวเน้นย้ำว่าสันติภาพเป็นสิ่งจำเป็นก่อนที่เอเชียจะสามารถพัฒนาได้เมื่อเผชิญกับภัยคุกคามความมั่นคงระดับโลกที่ยุ่งเหยิงซับซ้อน เขาเรียกร้องให้ประเทศต่าง ๆ ในเอเชียเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ร่วมกันยืนหยัดต้านทานเอกภาคนิยมและอติมานะสุดขีด ต่อต้านการเผชิญหน้าระหว่างกลุ่มความคิดต่าง ๆ และป้องกันไม่ให้ภูมิภาคเอเชียและโลกกลายเป็นเวทีต่อสู้ทางภูมิรัฐศาสตร์
ในระหว่างการประชุมโป๋อ่าว ฟอรั่ม ประจำปี 2565 จีนได้เสนอโครงการริเริ่มด้านความปลอดภัยระดับโลก โดยส่งเสริมวิสัยทัศน์ด้านความปลอดภัยร่วมกัน ที่ครอบคลุม ให้ความร่วมมือ และยั่งยืน ในปี 2564 จีนเสนอโครงการริเริ่มการพัฒนาระดับโลก ซึ่งส่งเสริมโลกาภิวัตน์ พหุภาคี และการค้าเสรี โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้างโลกที่ยุติธรรม เสมอภาค เปิดกว้าง และไม่แบ่งแยก
"ไม่มีประเทศใดสามารถพัฒนาตัวเองลับหลังได้" คุณจ้าวกล่าว "เราต้องต่อต้านลัทธิกีดกันทางการค้าและการสร้างอุปสรรคทุกรูปแบบ การแยกส่วนหรือตัดขาดห่วงโซ่อุปทาน แต่หันมาร่วมมือกันแบ่งปันโอกาสในการเปิดกว้างและแสวงหาผลลัพธ์ที่ได้ประโยชน์ทั้งสองฝ่ายแทน"
]]>เมืองทาทู, เคนยา, 28 มีนาคม 2567 /PRNewswire/ -- ฟูลแคร์ เมดิคัล (FullCare Medical) ได้เปิดตัวโรงงานผลิตชุดทางการแพทย์แห่งใหม่ในเมืองทาทู ซึ่งเป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษ (SEZ) แบบมิกซ์ยูส (mixed-use) ขนาด 5,000 เอเคอร์ ที่เคนยา
โรงงานของฟูลแคร์ เมดิคัล มีมูลค่าการลงทุน 30 ล้านเหรียญสหรัฐ และมีพนักงานชาวเคนยา 1,800 คนในเฟสแรก ในเฟสถัดไป บริษัทวางแผนที่จะจ้างชาวเคนยามากถึง 7,000 คน
"การที่เราเลือกลงทุนในเคนยาและเขตเศรษฐกิจพิเศษเมืองทาทูสะท้อนให้เห็นว่าเราเชื่อในพลังแห่งการเปลี่ยนแปลงที่เกิดจากความร่วมมือ โรงงานล้ำสมัยแห่งนี้ ซึ่งใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีพลังงานแสงอาทิตย์ล่าสุดเพื่อการผลิตที่ยั่งยืน พร้อมที่จะส่งออกสินค้าทางการแพทย์มูลค่า 60 ล้านดอลลาร์สหรัฐทุกปี พร้อมกับตอบสนองความต้องการของตลาดในท้องถิ่นไปด้วย" คุณลู่ เจียงกั้ว (Lu Jianguo) ผู้ก่อตั้งฟูลแคร์ เมดิคัล กล่าว
คุณสตีเฟน เจนนิ่งส์ (Stephen Jennings) ผู้ก่อตั้งและซีอีโอของ Rendeavour ซึ่งเป็นเจ้าของและผู้พัฒนาเมืองทาทู กล่าวเสริมว่า "เขตเศรษฐกิจพิเศษเมืองทาทูกำลังดึงดูดการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศสู่เคนยา ในฐานะที่เป็นเป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษแบบมิกซ์ยูสแห่งแรกของเคนยา เมืองทาทูได้ดึงดูดเงินลงทุน 2.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐจากธุรกิจกว่า 78 แห่ง ซึ่งหลายบริษัทเป็นบริษัทชั้นนำระดับโลกในวงการต่าง ๆ ตั้งแต่การบริการสุขภาพ การผลิตอาหารและเครื่องดื่มไปจนถึงศูนย์บริการทางโทรศัพท์ และวิศวกรรมซอฟต์แวร์ การลงทุนเหล่านี้กำลังสร้างงานที่จำเป็นมากหลายพันตำแหน่งให้กับชาวเคนยา"
คุณจาง อี้จุน (Zhang Yijun) อัครราชทูตที่ปรึกษาสถานทูตจีนในกรุงไนโรบี และเหล่าเจ้าหน้าที่รัฐบาลเคนยาได้เข้าร่วมพิธีเปิด
คุณจาง กล่าวว่า "ฟูลแคร์ เมดิคัล เป็นสัญลักษณ์ของมิตรภาพระหว่างจีนและเคนยาในการแสวงหาความก้าวหน้าร่วมกัน"
บรรษัทเงินทุนระหว่างประเทศ (International Finance Corporation) ซึ่งเป็นหน่วยงานด้านการลงทุนของธนาคารโลก ได้ให้การสนับสนุนทางการเงินจำนวน 100 ล้านดอลลาร์สหรัฐแก่ฟูลแคร์ เมดิคัล เพื่อขยายธุรกิจในแอฟริกา
โรงงานของฟูลแคร์ เมดิคัล ถือเป็นการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศที่สำคัญที่สุดแห่งหนึ่งในเคนยาในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา โดยได้สร้างมาตรฐานสำหรับบริษัทจีนที่มีความกระตือรือร้นและเป็นผู้ประกอบการในแอฟริกา
ธุรกิจท้องถิ่น ภูมิภาค และระดับโลกมากกว่า 78 แห่งดำเนินการหรืออยู่ระหว่างการพัฒนาในทำเลที่เป็นมิตรต่อธุรกิจของเมืองทาทู ธุรกิจดังกล่าวรวมถึง CCI Global, Heineken, Dormans, Copia, Cooper K-Brands, Grit Real Estate Income Group, Twiga Foods, Freight Forwarders Solutions, ADvTECH, Friendship Group และ Davis & Shirtliff
สิทธิประโยชน์ทางธุรกิจที่เขตเศรษฐกิจพิเศษเมืองทาทู ได้แก่ ภาษีมูลค่าเพิ่ม 0% การยกเว้นอากรนำเข้าและอากรแสตมป์ และภาษีนิติบุคคล 10% สำหรับ 10 ปีแรกและ 15% เป็นเวลา 10 ปีหลังจากนั้น
เกี่ยวกับฟูลแคร์ เมดิคัล บริษัทฟูลแคร์ เมดิคัล (เคนยา) เขตเศรษฐกิจพิเศษ จำกัด (FullCare Medical (Kenya) SEZ Limited) เป็นบริษัทเคนยาที่มีประสบการณ์กว่าสองทศวรรษในการผลิตและจัดจำหน่ายอุปกรณ์ทางการแพทย์และอุปกรณ์ป้องกันคุณภาพสูงที่ได้รับรางวัลระดับโลก โรงงานผลิตที่ทันสมัยของฟูลแคร์ เมดิคัล ในเขตเศรษฐกิจพิเศษเมืองทาทู ได้รับการออกแบบมาเพื่อให้บริการในแอฟริกา ยุโรป และสหรัฐอเมริกา และจะสร้างงานมากกว่า 1,800 งานในเฟสแรก
เกี่ยวกับเมืองทาทู เมืองทาทูคือเมืองใหม่ขนาด 5,000 เอเคอร์ที่อยู่ใกล้ไนโรบี ซึ่งมีบ้าน โรงเรียน ธุรกิจ แหล่งช้อปปิ้ง คลินิกการแพทย์ พื้นที่ธรรมชาติ และกิจกรรมพักผ่อนหย่อนใจสำหรับผู้อยู่อาศัยมากกว่า 250,000 คนและผู้มาเยือนรายวันนับหมื่นราย โรงเรียนต่าง ๆ ในเมืองทาทู ให้ความรู้แก่นักเรียนหลายพันคนทุกวัน มีบ้านให้เลือกหลากหลายที่เหมาะกับรายได้ทุกระดับ และธุรกิจมากกว่า 78 แห่งเฟื่องฟูในเขตเศรษฐกิจพิเศษที่เปิดดำเนินการแห่งแรกของประเทศ เมืองทาทูตั้งอยู่ห่างจากเวสต์แลนดส์ 30 นาที จึงแสดงถึงวิถีชีวิตและแนวคิดใหม่สำหรับชาวเคนยาทุกคนในสภาพแวดล้อมเพื่อการอยู่อาศัย การทำงาน และการพักผ่อนที่ปราศจากการจราจรติดขัดและการเดินทางไปกลับระยะไกล
เมืองทาทูพัฒนาโดย Rendeavour ซึ่งเป็นผู้สร้างเมืองใหม่ที่ใหญ่ที่สุดในแอฟริกา ด้วยโครงการในวิสัยทัศน์ขนาด 30,000 เอเคอร์ในเส้นทางการเติบโตทั่วกานา ไนจีเรีย เคนยา แซมเบีย และสาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก
สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับเมืองทาทู กรุณาเยี่ยมชม www.tatucity.com
รูปภาพ - https://mma.prnasia.com/media2/2374382/Tatu_City_FullCare.jpg?p=medium600
]]>ซิดนีย์, 29 มี.ค. 2567 /พีอาร์นิวส์ไวร์/
เอ็กซ์คลูซีฟ เน็ตเวิร์คส์ (Exclusive Networks) (Euronext Paris: EXN) ผู้นำระดับโลกด้านความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ ประกาศการลงนามในความตกลงที่มีผลผูกพันสำหรับการเข้าซื้อทุนเรือนหุ้น 100% ของเน็กซ์เจน กรุ๊ป (NEXTGEN Group) ("เน็กซ์เจน") บริษัทบริการช่องทางการเติบโตสูงชั้นนำ ที่มุ่งเน้นความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ การตั้งรับปรับตัวด้านข้อมูล และองค์กรดิจิทัลในออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ โดยมีบทบาทการดำเนินงานทั่วทั้งภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก
เน็กซ์เจน มีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ในเมืองซิดนีย์ ประเทศออสเตรเลีย ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2554 และมีพนักงาน 190 คนในทั่วทั้งภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ในปีงบประมาณ 2566 ซึ่งสิ้นสุดลง ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2566 เน็กซ์เจน มียอดขายรวม 266 ล้านดอลลาร์ออสเตรเลีย (160 ล้านยูโร) โดยคาดว่าจะมีการเติบโตระดับเลขสองหลักในหลายปีข้างหน้านี้
การดำเนินงานของบริษัทแห่งนี้สอดรับอย่างลงตัวกับกลยุทธ์การเติบโตภายนอกของเอ็กซ์คลูซีฟ เน็ตเวิร์คส์
เน็กซ์เจนมอบพอร์ตฟอลิโอผู้ค้าที่มีการเติบโตสูงและมีแนวโน้มที่ดี ประกอบกับหลากหลายบริการ ในแง่นี้ ธุรกรรมเพิ่มมูลค่าครั้งนี้จะทำให้เอ็กซ์คลูซีฟ เน็ตเวิร์คส์พร้อมเป็นผู้นำตลาดในออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ โดยสร้างความร่วมมือเชิงพาณิชย์และทางการเงินจากความสอดคล้องเข้ากันระหว่างทั้งสองบริษัท
การรวมกันระหว่างเน็กซ์เจนกับเอ็กซ์คลูซีฟ เน็ตเวิร์คส์จะเสนอมอบช่องทางเพิ่มมูลค่าครบวงจรที่ไม่เหมือนอื่นใด ซึ่งสนับสนุนโดยการวิเคราะห์ข้อมูลแบบเรียลไทม์และมุมมองเชิงลึกจากเอไอ ยังประโยชน์แก่ทั้งภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก และทำให้เอ็กซ์คลูซีฟ เน็ตเวิร์คส์สามารถออกบริการช่องทางดิจิทัลในระดับโลก
ความเชี่ยวชาญที่แข็งแกร่งของเน็กซ์เจนในด้านการประเมินการย้ายสู่ระบบคลาวด์ การตลาดดิจิทัล และโซลูชันการสร้างกลุ่มผู้มีแนวโน้มเป็นลูกค้า จะขยายการส่งมอบคุณค่าแก่ลูกค้าของเอ็กซ์คลูซีฟ เน็ตเวิร์คส์ ด้วยการใช้ประโยชน์จากแพลตฟอร์มที่ก้าวหน้าล้ำสมัยภายในของเน็กซ์เจน ประกอบกับโครงการริเริ่มที่พัฒนาขึ้นโดยมีระบบกำลังประมวลผลสูงระดับไฮเปอร์สเกล เพื่อวางรากฐานสำหรับการเติบโตระยะต่อไป
หลังจากการเข้าซื้อ บทบาทของเอ็กซ์คลูซีฟ เน็ตเวิร์คส์ในออสเตรเลียและนิวซีแลนด์จะเพิ่มขึ้นมากกว่าสองเท่าตัว และจากตัวเลขของงบการเงินประมาณการ ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2566 ธุรกิจที่รวมเข้าด้วยกันจะมียอดขายรวมราว 615 ล้านยูโรในเอเชียแปซิฟิก ซึ่งเป็นภูมิภาคที่มีแนวโน้มการเติบโตน่าดึงดูด และมีตลาดที่เข้าถึงได้รวมมูลค่าราว 1 หมื่นล้านดอลลาร์ในปี 2566[1]
การดำเนินธุรกรรมเสร็จสมบูรณ์ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขบังคับก่อนตามบรรทัดฐาน และคาดว่าจะเสร็จสิ้นระหว่างไตรมาสที่สองของปี 2567
คุณเจสเปอร์ โทรลล์ (Jesper Trolle) ซีอีโอของเอ็กซ์คลูซีฟ เน็ตเวิร์คส์ กล่าวแสดงความเห็นว่า
"การเข้าซื้อครั้งนี้เป็นการก้าวไปข้างหน้าครั้งสำคัญในกลยุทธ์การเติบโตของเราในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก โดยเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้แก่ธุรกิจของเราเป็นอย่างมาก อีกทั้งยังเอื้อให้เราสามารถขยายและพัฒนาคุณค่าที่เราส่งมอบให้แก่ลูกค้า เรายินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ต้อนรับคุณจอห์น วอลเตอร์สและทีมงานมากความสามารถของเน็กซ์เจนเข้าสู่เครือ และตั้งตารอที่จะได้ทำงานร่วมกับพวกเขา เมื่อผนึกกำลังกัน เราจะมุ่งสร้างผู้นำระดับภูมิภาคและบุกเบิกสิ่งใหม่ ๆ โดยการผสมผสานทรัพยากรและประสบการณ์จะช่วยเร่งส่งเสริมการเติบโตและความสามารถในการแข่งขันของเรา ทั้งในตลาดแห่งนี้ที่มีพลังไม่หยุดนิ่ง และนอกเหนือจากนั้น"
คุณจอห์น วอลเตอร์ส (John Walters) ผู้ก่อตั้งและซีอีโอของเน็กซ์เจน กรุ๊ป กล่าวเสริมว่า
"เพื่อคว้าประโยชน์จากระยะต่อไปของการเติบโตที่น่าตื่นเต้นของเน็กซ์เจน กรุ๊ป เราจำเป็นต้องหาพันธมิตรระดับโลกที่ใช่ซึ่งนำการลงทุนที่เหมาะสมเข้ามาสู่โมเดลของเราโดยสอดรับกับวัฒนธรรมของเรา เอ็กซ์คลูซีฟ เน็ตเวิร์คส์ นำโดยคุณเจสเปอร์ สอดรับอย่างลงตัวกับความมุ่งหมายและคุณค่าร่วมกันของเรา ตลอดจนใจรักในนวัตกรรมและจิตวิญญาณความเป็นผู้ประกอบการ
หลังจาก 13 ปีของการสร้างธุรกิจขึ้นมาจากสตาร์ทอัพ เรามั่นใจและกระตือรือร้นอย่างมากที่จะเริ่มระยะใหม่นี้กับเอ็กซ์คลูซีฟ เน็ตเวิร์คส์ ก้าวนี้ถือเป็นจุดเริ่มต้นของบทใหม่อันน่าตื่นเต้น ซึ่งการเติบโตของเราจะได้รับการเร่งส่งเสริมโดยทรัพยากรและความเชี่ยวชาญของผู้นำด้านความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ระดับโลก"
เกี่ยวกับเอ็กซ์คลูซีฟ เน็ตเวิร์คส์
เอ็กซ์คลูซีฟ เน็ตเวิร์คส์ (Exclusive Networks หรือ EXN) เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ระดับโลก ซึ่งมอบหลากหลายผลิตภัณฑ์และบริการให้แก่คู่ค้าและลูกค้าปลายทางผ่านเส้นทางสู่ตลาดที่ได้รับการพิสูจน์แล้ว เอ็กซ์คลูซีฟ เน็ตเวิร์คส์ มีสำนักงานในมากกว่า 47 ประเทศ ประกอบกับสามารถให้บริการลูกค้าในมากกว่า 170 ประเทศ เราบูรณาการมุมมองในท้องถิ่นเข้ากับระดับขนาดและการส่งมอบขององค์กรระดับโลกแห่งเดียว
พอร์ตฟอลิโอผู้ค้าชั้นเยี่ยมของเราได้รับการคัดสรรอย่างพิถีพิถันโดยประกอบด้วยผู้เล่นระดับแนวหน้าของอุตสาหกรรมทั้งหมด บริการของเราครอบคลุมตั้งแต่การบริหารจัดการความมั่นคงปลอดภัย ไปจนถึงการรับรองและฝึกอบรมเชิงเทคนิคเฉพาะทาง ตลอดจนคว้าประโยชน์จากเทคโนโลยีที่พัฒนาอย่างรวดเร็วและโมเดลธุรกิจที่เปลี่ยนแปลงไป ดูข้อมูลเพิ่มเติม โปรดเยี่ยมชม www.exclusive-networks.com
เกี่ยวกับเน็กซ์เจน กรุ๊ป
เน็กซ์เจน กรุ๊ป (NEXTGEN Group) ช่วยขับเคลื่อนการเติบโตสำหรับผู้ค้าทางเทคโนโลยี คู่ค้าตัวแทนจำหน่าย และลูกค้าปลายทาง ผ่านโมเดลธุรกิจรุ่นใหม่ที่ไม่เหมือนอื่นใด เราเชี่ยวชาญด้านการเสนอมอบพอร์ตฟอลิโอเสริมอันประกอบด้วยซอฟต์แวร์องค์กรและโซลูชันคลาวด์เพิ่มมูลค่าระดับแนวหน้าที่ได้รับการคัดสรรอย่างพิถีพิถัน
แนวทางการทำงานร่วมกันของเราทำให้เป็นเรื่องง่ายสำหรับพันธมิตรทางเทคโนโลยี ที่จะทำธุรกิจกับสตาร์ทอัพที่กำลังขยายตัวผ่านผู้ค้าบลูชิปที่ได้รับการยอมรับในระดับโลก ซึ่งเสนอโซลูชั่นผลิตภัณฑ์และบริการเชิงนวัตกรรมที่พัฒนาเปลี่ยนแปลงไป
[1] ข้อมูลของบริษัทฯ
ก่อนหน้านี้ เนต้า วี (NETA V) ซึ่งเป็นแผนกหนึ่งของเนต้า ได้คว้ารางวัลมาแล้วมากมาย และทำยอดขายติดท็อป 3 ในตลาดรถยนต์ไฟฟ้าล้วนของประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง และวันนี้ เนต้ามาพร้อมยนตรกรรมที่หลากหลายยิ่งขึ้น เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคทั่วโลกในด้านการเดินทางอัจฉริยะ
เนต้า วี-ทู หรือที่รู้จักกันในชื่อเนต้า อาย่า (NETA AYA) ในตลาดจีน นำสององค์ประกอบอย่าง "ความชาญฉลาด" และ "ความบันเทิง" มารวมเข้ากับแนวคิดการออกแบบได้อย่างลึกซึ้ง แนวคิดที่เป็นนวัตกรรมนี้ทำให้เนต้า วี-ทู สอดรับกับไลฟ์สไตล์ของคนเจเนอเรชันแซด ซึ่งให้ความสำคัญทั้งในเรื่องเทคโนโลยีอัจฉริยะและประสบการณ์ความบันเทิง
นอกจากจะมีสีให้เลือกหลากหลายแล้ว เนต้า วี-ทู ยังมาพร้อมกับคุณสมบัติมากมาย ไม่ว่าจะเป็นความบันเทิงอันเหนือชั้น และระบบช่วยเหลือการขับขี่อัจฉริยะ คุณลักษณะเหล่านี้สะท้อนให้เห็นว่า เนต้าเข้าใจและตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคทั่วโลกได้อย่างแท้จริง โดยลูกค้าและตลาดต่างให้การยอมรับอย่างมากนับตั้งแต่ที่เปิดตัวในประเทศจีน
ชาวไทยชื่นชอบกลุ่มผลิตภัณฑ์ของเนต้ามานานแล้ว โดยให้การยกย่องเนต้าในเรื่องการผสมผสานความสปอร์ต แฟชั่น และเทคโนโลยีเข้าด้วยกัน และเป็นปีที่สองติดต่อกันแล้วที่เนต้า วี คว้ารางวัลรถยนต์พลังงานไฟฟ้ายอดเยี่ยมแห่งปี "Best EV Subcompact Hatchback Award" ในตลาดไทยมาได้เมื่อวันที่ 14 มีนาคม เนต้าประสบความสำเร็จอย่างโดดเด่นในภาครถไฟฟ้าของไทยในปี 2566 โดยกวาดส่วนแบ่งตลาดไปได้ 17%
เพื่อให้บริการลูกค้าได้ดียิ่งขึ้น เนต้าได้เดินหน้าพัฒนาเทคโนโลยีดิจิทัลจนเกิดความคืบหน้าสำคัญ ทั้งยังมียนตรกรรมให้เลือกอย่างจุใจ ล่าสุด เนต้าได้เปิดตัวแอปสำหรับตลาดต่างประเทศเป็นครั้งแรก เพื่อให้บริการลูกค้าของเนต้าในประเทศไทย ปัจจุบันแอปนี้มีให้บริการอย่างเป็นทางการในตลาดแอปต่าง ๆ และใช้เทคโนโลยีเพื่อปรับปรุงคุณภาพในการให้บริการผู้ใช้
นอกเหนือจากการมีฐานอยู่ในประเทศไทย และทุ่มเทให้กับการเติบโตในระยะยาวแล้ว เนต้ายังมีมุมมองก้าวไกลในระดับสากล โดยให้บริการตลาดต่าง ๆ ด้วยการจัดหารถยนต์ไฟฟ้าอัจฉริยะระดับพรีเมียมให้กับภูมิภาคต่าง ๆ ทั้งตะวันออกกลาง ยุโรป อเมริกาใต้ และแอฟริกา
เนต้าตั้งเป้าทำยอดขายในต่างประเทศให้ได้ 100,000 คันในปี 2567 โดยเนต้ามีผู้ใช้ทั่วโลกแตะ 400,000 รายแล้วจนถึงขณะนี้ ซึ่งนอกเหนือจากการเริ่มต้นการผลิตจำนวนมากในโรงงานอัจฉริยะในประเทศไทยแล้ว เนต้ายังสนับสนุนการจัดตั้งโรงงานผลิตในอินโดนีเซียและมาเลเซียอีกด้วย
เนต้าเริ่มต้นในประเทศไทยและกำลังขยับขยายไปทั่วเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ พร้อมเดินหน้าขยายกลยุทธ์ระดับโลก โดยในภาคยานยนต์นั้น เนต้า ออโต้ หวังสร้างความร่วมมือเชิงกลยุทธ์หลายระดับและครอบคลุมทั่วโลก และในอนาคต เนต้าจะยังคงสนับสนุนการจัดตั้งระบบการผลิตในต่างประเทศ เสริมแกร่งและยกระดับอิทธิพลของแบรนด์ในระดับโลกต่อไป
เกี่ยวกับเนต้า ออโต้
เนต้า ออโต้ (NETA Auto) ซึ่งเป็นแบรนด์ของบริษัท โฮซอน นิว เอนเนอร์ยี่ ออโต้โมบิล จำกัด (Hozon New Energy Automobile Co., Ltd.) หรือโฮซอน เป็นผู้ริเริ่มชั้นนำด้านอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้าอัจฉริยะ ด้วยการมุ่งเน้นไปที่ "เทคโนโลยีสำหรับทุกคน" และ "การสร้างรถยนต์ไฟฟ้าอัจฉริยะสำหรับทุกคน" เนต้า ออโต้ ได้พัฒนารถยนต์ไฟฟ้าคุณภาพสูงและเทคโนโลยีล้ำสมัย กลุ่มผลิตภัณฑ์ของเนต้า ออโต้ ประกอบด้วยรถยนต์รุ่นยอดนิยม เช่น NETA GT, NETA S, NETA X, NETA AYA (NETA V-II) และ NETA V เนต้า ออโต้ ยังทุ่มเทให้กับตลาดผู้บริโภคจำนวนมาก โดยมีการเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่ในแต่ละปี ครอบคลุมรถยนต์กระแสหลักในเซกเมนต์ A0-B นอกจากนี้ แบรนด์ยังได้พัฒนา "แพลตฟอร์มซานไฮ่" (Shanhai Platform) ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มที่ชาญฉลาดและปลอดภัยสำหรับรถยนต์ รวมถึงแบรนด์เทคโนโลยีอย่างโฮจือ เทคโนโลยี (HOZI Technology) ตอบสนองความต้องการของผู้ใช้และส่งเสริมการเข้าถึงเทคโนโลยีขั้นสูง
เพื่อตอบสนองต่อการเรียกร้องให้มีการเปลี่ยนแปลงไปสู่คาร์บอนต่ำ M&G ได้จัดเตรียมชุดเครื่องเขียนที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมให้ผู้เข้าร่วมประชุม ด้ามปากกาเจลทำจากกรดโพลีแลกติก (PLA) ซึ่งหมักจากข้าวโพดและแป้งอื่น ๆ ที่มีชีวมวล หน้าปกของหนังสือเล่มเล็กทำด้วยหนังเคลือบน้ำมันระดับพรีเมียมที่ได้รับการรับรองโดย มาตรฐานการรีไซเคิลระดับสากล (Global Recycled Standard หรือ GRS) กระดาษที่ใช้ได้รับการรับรองจากสภาพิทักษ์ป่าไม้ (Forest Stewardship Council หรือ FSC)
ในขณะเดียวกัน M&G ได้เปิดตัวบริการเครื่องเขียนที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมแบบปรับแต่งได้ เพื่อช่วยให้บริษัทและองค์กรต่าง ๆ ลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากสำนักงานมากขึ้น ยักษ์ใหญ่ด้านเครื่องเขียนของจีนหวังว่าจะช่วยให้ผู้คนมากขึ้นได้ทำงานและใช้ชีวิตอย่างยั่งยืน โดยการปลูกฝังทัศนคติด้านความยั่งยืนไว้ในสินค้าเครื่องเขียนในชีวิตประจำวัน
ในปี 2564 M&G นำอุตสาหกรรมเครื่องเขียนของจีนในการเปิดตัวกลยุทธ์การพัฒนาที่ยั่งยืน M&G ได้ดำเนินงานเชิงรุกภายใต้สี่เสาหลักเชิงกลยุทธ์ ได้แก่ "สินค้ายั่งยืน" "ตอบโจทย์การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ" "ห่วงโซ่อุปทานยั่งยืน" และ "เสริมศักยภาพพนักงานและชุมชน" โดยได้บรรลุผลลัพธ์ที่เป็นประโยชน์ และก้าวอย่างมั่นคงไปสู่ "วาดอนาคตธุรกิจที่ยั่งยืน"
M&G ประสบความสำเร็จในการเปิดตัวสินค้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมหลายประเภท รวมถึงชุดสินค้าเครื่องเขียนคาร์บอนเป็นกลางชุดแรกที่ทำจากภาชนะสำหรับนำกลับบ้านรีไซเคิล ปากกาเจล "แผนลดการปล่อยคาร์บอน" ที่ใช้อะคริลิกพลาสติกรีไซเคิลจากเครื่องใช้ในครัวเรือนเก่า และชุดสินค้าพื้นที่ชุ่มน้ำที่ใกล้สูญพันธุ์ ทำจากวัสดุที่ย่อยสลายได้ทางชีวภาพของ PLA หรือวัสดุรีไซเคิล ซึ่งมีส่วนช่วยในการอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพ
M&G เป็นผู้นำในตลาดเครื่องเขียนของจีน โดยเป็นผู้นำในด้านขนาดธุรกิจ ความสามารถในการทำกำไร พื้นที่การจัดจำหน่าย การวิจัยและการพัฒนาผลิตภัณฑ์ โดยปัจจุบันได้กลายเป็นหนึ่งในบริษัทเครื่องเขียนที่ใหญ่ที่สุดในโลกแล้ว
M&G Stationery ลงทุนประมาณ 100 ล้านหยวนในการวิจัยและพัฒนาทุกปี และได้รับสิทธิบัตรทรัพย์สินทางปัญญามากกว่า 1,100 รายการ เครือข่ายการจัดจำหน่ายที่แข็งแกร่งครอบคลุมอาคารค้าปลีก 70,000 แห่ง ครอบคลุมโรงเรียนมากกว่า 80% ทั่วประเทศจีน และกว่า 50 ประเทศในต่างประเทศ
โซลาร์ฟาร์มดังกล่าวครอบคลุมพื้นที่ 64 เฮกตาร์ในเมืองไคตาเอีย (Kaitāia) ประกอบด้วยแผงกระจกคู่สองหน้า Trina Solar Vertex 550 วัตต์ จำนวน 61,000 แผง บนระบบติดตามอัจฉริยะ TrinaTracker Vanguard 2P พร้อมความจุไฟฟ้ากระแสตรง 33 เมกะวัตต์ ฟาร์มแห่งนี้ถือเป็นก้าวสำคัญสู่เป้าหมายพลังงานหมุนเวียนของนิวซีแลนด์ ซึ่งคาดว่าจะผลิตไฟฟ้าได้ประมาณ 55 กิกะวัตต์ - ชั่วโมงต่อปี และจ่ายไฟให้กับประชาชนได้มากกว่า 7,770 ครัวเรือน
การบูรณาการแผงกระจกคู่สองหน้ากำลังสูงพิเศษของทรินา โซลาร์เข้ากับเครื่องติดตาม Vanguard 2P ซึ่งขับเคลื่อนโดยอัลกอริธึมอัจฉริยะที่ปรับมุมการติดตามให้เหมาะสม ช่วยการันตีความสามารถในการผลิตพลังงานได้สูงสุด นอกจากนี้ ช่องระหว่างแถวแผงโซลาร์เซลล์อันกว้างขวางและตัวติดตามความสูง 2 เมตร ยังเอื้อต่อการปลูกพืชภายใต้แผงโซลาร์เซลล์ ทำให้สามารถผลิตพลังงานแสงอาทิตย์ควบคู่ไปกับกิจกรรมทางการเกษตรได้ นับเป็นสิ่งสำคัญในตลาดที่มีอุตสาหกรรมการเกษตรขนาดใหญ่แต่ทรัพยากรที่ดินหายากมากขึ้นอย่างนิวซีแลนด์
โครงการดังกล่าวตอกย้ำความมุ่งมั่นของทรินา โซลาร์ในการจัดหาโซลูชันครบวงจรสำหรับพลังงานอัจฉริยะ ผู้ติดตั้งจะได้รับประโยชน์จากการมีแหล่งจัดซื้อเพียงแหล่งเดียว ปรับปรุงกระบวนการต่าง ๆ ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น สามารถจัดส่งได้เร็วขึ้น การเจรจาราบรื่นขึ้น และบริการหลังการขายแบบครบวงจร ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนและรับประกันประสิทธิภาพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสภาพการทำงานอันท้าทาย
Edison Zhou หัวหน้าทีมงานทรินา โซลาร์ประจำออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ และหมู่เกาะแปซิฟิกกล่าวว่า "ความร่วมมือของเรามีลักษณะเฉพาะด้วยการทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิดตั้งแต่ขั้นตอนการออกแบบทางเทคนิคไปจนถึงการทดสอบเดินเครื่อง โดยเอาชนะความท้าทายหลายประการ อาทิ ดินที่ปราศจากแรงยึดเกาะระหว่างกันในไซต์งาน ซึ่งระบบติดตามอัจฉริยะ TrinaTracker Vanguard 2P ช่วยได้มาก และความร่วมมือของเรากับโลดสโตน เอเนอร์จีในการออกแบบรากฐานทำให้สามารถเอาชนะอุปสรรคนี้ร่วมกันได้ เราคาดหวังต่อความร่วมมือในอนาคตและมุ่งมั่นที่จะมอบความเป็นเลิศทางเทคโนโลยี รวมถึงโมดูล ระบบติดตาม และระบบกักเก็บพลังงาน เพื่อพัฒนาอนาคตคาร์บอนเป็นศูนย์ของนิวซีแลนด์"
"ฟาร์มโซลาร์แห่งที่สามของเราที่ Waiotahe อยู่ระหว่างการก่อสร้างโดยใช้แผงและเครื่องติดตามของทรินา โซลาร์รุ่นล่าสุดเช่นเดียวกับที่เมืองไคตาเอียเพื่อการผลิตอันสมบูรณ์แบบ ความร่วมมือกับทรินา โซลาร์ช่วยให้เราสามารถบรรลุเป้าหมายในการจัดหาโซลูชันพลังงานทดแทนให้กับผู้บริโภคในนิวซีแลนด์ได้มากขึ้น รวมถึงบรรลุเป้าหมายความยั่งยืนไปพร้อม ๆ กับการรับประกันเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ" แกรี โฮลเดน (Gary Holden) กรรมการผู้จัดการของโลดสโตน เอเนอร์จี ทิ้งท้าย
กรีนส์โบโร, นอร์ทแคโรไลนา, 28 มีนาคม 2567 /PRNewswire/ -- วอลโว่ ไฟแนนเชียล เซอร์วิสเซส (Volvo Financial Services หรือ VFS) ประกาศการขยายความร่วมมือกับ เจเอ (JA) หรือ จูเนียร์ อะชีฟเมนต์ เวิลด์ไวด์ (Junior Achievement Worldwide) ตลอดทั้งปี 2568 เพื่อมอบทักษะความรู้ความเข้าใจทางการเงินให้แก่เยาวชนจำนวนมากขึ้นในทั่วโลก นอกจากนี้ VFS และเจเอยังขยายการเข้าถึงทางภูมิศาสตร์ด้วยการเพิ่มโครงการในโรมาเนียและสวีเดน โครงการใหม่เหล่านี้จะเป็นส่วนเพิ่มเติมของความพยายามที่ดำเนินอยู่แล้วในบราซิล ฝรั่งเศส อินเดีย อิตาลี เปรู แอฟริกาใต้ สหราชอาณาจักร และสหรัฐอเมริกา
"ขณะที่การเปลี่ยนแปลงที่มีนัยสำคัญกำลังเปลี่ยนโลกของเรา ความเข้าใจหลักการทางการเงินขั้นพื้นฐานกลายเป็นรากฐานที่สำคัญยิ่งขึ้นสำหรับความสำเร็จในอนาคต" คุณมาร์ซิโอ เปโดรโซ (Marcio Pedroso) ประธานของ VFS กล่าว "การสอนทักษะเหล่านี้ให้แก่เยาวชนยังช่วยสร้างสังคมที่เสมอภาคและยั่งยืนมากขึ้น ด้วยเหตุนี้เราจึงภูมิใจที่ได้สานต่อความร่วมมือของเรากับเจเอ และขยายการเข้าถึงของเราร่วมกัน"
VFS และเจเอเริ่มต้นความร่วมมือเป็นพันธมิตรในปี 2565 โดยพนักงานอาสาสมัครของ VFS และครูผู้สอนของเจเอทำงานร่วมกันเพื่อมอบทักษะความรู้ความเข้าใจทางการเงินให้แก่เยาวชนผ่านหลักสูตรที่พิสูจน์แล้วของเจเอ
เยาวชนผู้เข้าร่วมยังจะมีโอกาสได้เรียนรู้เกี่ยวกับอาชีพสายการเงินจากอาสาสมัครของ VFS ทั้งนี้ ในปีแรกของความสัมพันธ์เป็นพันธมิตรนี้ พนักงานอาสาสมัครของ VFS ราว 140 คนร่วมมือกับครูผู้สอนของเจเอเพื่อเข้าถึงเยาวชนมากกว่า 14,000 คนทั่วโลก
"หนึ่งในวิธีการหลักที่เยาวชนสร้างความเชื่อมั่นในความสามารถของตน คือด้วยการมีผู้เป็นแบบอย่างที่บอกเล่าเรื่องราวเส้นทางการมีสุขภาพทางการเงินที่ดีของตนเอง" คุณอาชีช อัดวานี (Asheesh Advani) ประธานและซีอีโอของเจเอ เวิลด์ไวด์ กล่าว "การสานต่อและขยายความร่วมมือของเรากับ VFS จะเอื้อให้อาสาสมัครของวอลโว่จำนวนมากขึ้นยิ่งกว่าเดิมสามารถทำหน้าที่เป็นผู้ฝึกอบรมและเป็นแบบอย่างทางการเงินให้แก่นักเรียนของเจเอ หากไม่มีพันธมิตรองค์กรบริษัทอย่าง VFS ที่เอื้อให้พนักงานของบริษัทสามารถเป็นอาสาสมัคร องค์ประกอบสำคัญเช่นนี้ของการให้ความรู้ทางการเงินจะไม่สามารถเกิดขึ้นได้เลย"
การขยายความร่วมมือกับเจเอแสดงถึงความมุ่งมั่นของ VFS ที่จะสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อสังคม และสอดรับอย่างลงตัวกับพันธกิจของวอลโว่ กรุ๊ป (Volvo Group) ในด้านเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของสหประชาชาติ (SDGs) ทั้ง 17 ประการ ทักษะความรู้ความเข้าใจทางการเงินที่แข็งแกร่งก่อผลกระทบเชิงบวกต่อเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนหลายประการ รวมถึงการมอบพลังส่งเสริมสตรีและเด็กผู้หญิง และการสนับสนุนการศึกษาที่มีคุณภาพ
เจเอ เวิลด์ไวด์มอบการเรียนรู้ที่รอบด้านและเปิดโอกาสให้ได้ลงมือปฏิบัติจริงในการเป็นผู้ประกอบการ เตรียมความพร้อมเพื่อประกอบอาชีพ และปรับปรุงสุขภาพทางการเงิน โดยเข้าถึงเยาวชนได้ปีละกว่า 17 ล้านคนในมากกว่า 100 ประเทศ เจเอเป็นหนึ่งในองค์กรไม่กี่แห่งที่มีระดับขนาด ประสบการณ์ และใจรักในการสร้างอนาคตที่สดใสมากขึ้นสำหรับนักนวัตกรรม ผู้ประกอบการ และผู้นำรุ่นใหม่
วอลโว่ ไฟแนนเชียล เซอร์วิสเซส เป็นธุรกิจสินเชื่อรถในเครือวอลโว่ กรุ๊ป โดยให้บริการและโซลูชันทางการเงินที่สอดรับกับความต้องการของลูกค้าในวันนี้และวันหน้า วอลโว่ ไฟแนนเชียล เซอร์วิสเซส ทุ่มเทในการคิดค้นนวัตกรรมใหม่ ๆ เพื่อสนับสนุนให้สังคมใช้โซลูชันขนส่งและอุปกรณ์ที่มีความยั่งยืน วอลโว่ ไฟแนนเชียล เซอร์วิสเซส มีสำนักงานใหญ่ในเมืองกอเทนเบิร์ก ประเทศสวีเดน ให้บริการลูกค้าและดีลเลอร์ของวอลโว่ กรุ๊ป ในตลาดประมาณ 50 แห่ง ดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.volvofinancialservices.com หรือติดตามเราได้ทางลิงด์อิน
วอลโว่ กรุ๊ป ขับเคลื่อนความเจริญรุ่งเรืองผ่านโซลูชันขนส่งและโครงสร้างพื้นฐาน โดยให้บริการรถบรรทุก รถบัส อุปกรณ์ก่อสร้าง โซลูชันพลังงานสำหรับการใช้งานทางทะเลและภาคอุตสาหกรรม รวมถึงบริการทางการเงินและบริการอื่น ๆ ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและเวลาให้บริการของลูกค้า วอลโว่ กรุ๊ป ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2470 โดยมุ่งสร้างอนาคตที่ล้ำหน้าด้วยโซลูชันขนส่งและโครงสร้างพื้นฐานที่มีความยั่งยืน วอลโว่ กรุ๊ป มีสำนักงานใหญ่อยู่ในเมืองกอเทนเบิร์ก ประเทศสวีเดน มีพนักงานมากกว่า 100,000 คน และดูแลลูกค้าในตลาดเกือบ 190 แห่ง และในปี 2566 บริษัทฯ มียอดขายสุทธิแตะ 5.53 แสนล้านโครนาสวีเดน (4.8 หมื่นล้านยูโร) และจดทะเบียนซื้อขายในตลาดแนสแด็ก สตอกโฮล์ม
รูปภาพ - https://mma.prnasia.com/media2/2373320/VFS_JA_Worldwide.jpg?p=medium600
โลโก้ - https://mma.prnasia.com/media2/1893121/volvo_spread_word_mark_Logo.jpg?p=medium600
ลากูน่า ไนกูเอล, แคลิฟอร์เนีย, 28 มีนาคม 2567 /PRNewswire/ -- เรียลตี้ วัน กรุ๊ป อินเตอร์เนชั่นแนล (Realty ONE Group International) แบรนด์อสังหาริมทรัพย์ไลฟ์สไตล์ทันสมัย และแฟรนไชส์อสังหาริมทรัพย์ที่เติบโตเร็วเป็นอันดับ 1 ของโลก ได้ประกาศแต่งตั้งบุคคลในตำแหน่งผู้นำเพิ่มเติมอย่างต่อเนื่อง เพื่อเร่งการเติบโตของสำนักงานให้มีจำนวนมากกว่า 1,000 แห่ง และผู้เชี่ยวชาญด้านอสังหาริมทรัพย์ให้มากกว่า 30,000 คนทั่วโลก
ตามที่ได้มีการประกาศไปเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา คุณคอรี วาสเกซ (Cory Vasquez) จะยังคงดำรงตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการตลาดต่อไป ในขณะเดียวกันยังได้รับการเลื่อนตำแหน่งขึ้นเป็นประธานร่วม คู่กับดาวเด่นแห่งวงการอย่างคุณวินนี่ เทรซี (Vinnie Tracey) ในขณะที่เขาเตรียมเกษียณอายุในอีกหกเดือนข้างหน้า ด้านคุณเดวิด โรเมโร (David Romero) สมาชิกใหม่ของวัน แฟมิลี่ (ONE Family) จะได้เลื่อนตำแหน่งเป็นประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายลูกค้า เพื่อเป็นผู้นำการเติบโต การพัฒนาธุรกิจ และการเรียนรู้ ในขณะที่คุณเคธี เบเกอร์ (Kathy Baker) ผู้มากประสบการณ์ในอุตสาหกรรมที่มีความโดดเด่นและเป็นที่รักของสมาชิก จะเป็นผู้นำโปรแกรมการฝึกสอนวัน ยูนิเวอร์ซิตี้ (ONE University Coaching) ของบริษัทในตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการฝึกสอน
คุณคูบา เยฟเกเนว (Kuba Jewgieniew) ซีอีโอและผู้ก่อตั้งเรียลตี้ วัน กรุ๊ป อินเตอร์เนชั่นแนล กล่าวว่า "นี่เป็นช่วงเวลาที่น่าตื่นเต้นเป็นพิเศษสำหรับแบรนด์ระดับโลกของเรา เราเชื่อมั่นอย่างยิ่งว่าเรามีทีมในฝันที่ประกอบด้วยผู้นำที่ดีที่สุดในอุตสาหกรรม ซึ่งจะพาเราไปสู่ยุคต่อไปแห่งการเติบโตและความสำเร็จ"
คุณไมค์ เคลียร์ (Mike Clear) ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการและประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงินของเรียลตี้ วัน กรุ๊ป กล่าวว่า "เรียลตี้ วัน กรุ๊ป อินเตอร์เนชั่นแนล คือคำตอบสำหรับเจ้าของแฟรนไชส์และผู้เชี่ยวชาญด้านอสังหาริมทรัพย์ของเราในการประสบความสำเร็จที่มากขึ้นและเร็วขึ้น เรารู้สึกขอบคุณบุคลากรมากความสามารถในตำแหน่งที่เหมาะสมที่รวมกันเป็นหนึ่งเดียว"
• คุณซาร่าห์ จอห์นสัน (Sarah Johnson) ได้รับการเลื่อนตำแหน่งเป็นรองประธานฝ่ายทรัพยากรบุคคล
• คุณเทย์เลอร์ โซเมอรา (Taylor Somera) ได้รับการเลื่อนตำแหน่งเป็นรองประธานฝ่ายการตลาดและพัฒนาธุรกิจ
• คุณอาร์เคดิอุซ เฮเลจ (Arkadiusz Halaj) ได้รับการเลื่อนตำแหน่งเป็นรองประธานฝ่ายเทคโนโลยี
• คุณเซวัก ซาร์คิสเซียน (Sevag Sarkissian) ได้รับการเลื่อนตำแหน่งเป็นรองประธานฝ่ายการตลาดดิจิทัล
• คุณแดเนียล เฮอร์นานเดซ (Daniel Hernandez) ได้รับการเลื่อนตำแหน่งเป็นรองประธานฝ่ายสนับสนุนระหว่างประเทศ
• คุณเคซีย์ เกรียร์ (Casey Grier) ได้รับการเลื่อนตำแหน่งเป็นผู้อำนวยการของวันซัพพอร์ต (ONE Support)
การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้และการเปลี่ยนแปลงล่าสุดทั้งหมดจะช่วยกำหนดตำแหน่งทางกลยุทธ์ให้กับบริษัทซึ่งเป็นที่รู้จักในอุตสาหกรรมในนาม ดิ อันโบรกเกอเรจ (The UNBrokerage) และแฟรนไชส์ระดับโลกที่แตกต่างในการขยายธุรกิจในประเทศและทั่วโลกต่อไป บนเส้นทางสู่การรวบรวมผู้เชี่ยวชาญด้านอสังหาริมทรัพย์ให้มากกว่า 30,000 ราย
เรียลตี้ วัน กรุ๊ป อินเตอร์เนชั่นแนล คว้าอันดับ 1 ด้านแฟรนไชส์อสังหาริมทรัพย์เป็นปีที่สามติดต่อกันในการจัดอันดับสุดยอดแฟรนไชส์ระดับโลก 500 แห่งประจำปี 2567 โดยนิตยสารออนเทอเพรอเนอร์ (Entrepreneur) และเป็นแบรนด์ไลฟ์สไตล์สมัยใหม่เพียงแบรนด์เดียวในอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ที่มีผู้เชี่ยวชาญด้านอสังหาริมทรัพย์เกือบ 20,000 คน ในสำนักงานมากกว่า 400 แห่งใน 49 รัฐของสหรัฐอเมริกา วอชิงตัน ดี.ซี. และอีก 20 ประเทศและดินแดนทั่วโลก
เรียนรู้เพิ่มเติมที่ www.OwnAOne.com
เกี่ยวกับ เรียลตี้ วัน กรุ๊ป อินเตอร์เนชั่นแนล
เรียลตี้ วัน กรุ๊ป อินเตอร์เนชั่นแนล (Realty ONE Group International) เป็นแบรนด์ไลฟ์สไตล์อันดับ 1 ที่เติบโตเร็วที่สุด ทันสมัยที่สุด และขับเคลื่อนด้วยเป้าหมายในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ เป้าหมายของบริษัทคือการขยายธุรกิจทั่วโลก เพื่อมอบที่อยู่อาศัย ความฝัน และชีวิตที่ดีขึ้นในเวลาเดียวกัน บริษัทเติบโตอย่างรวดเร็วโดยมีผู้เชี่ยวชาญด้านอสังหาริมทรัพย์เกือบ 20,000 รายในสำนักงานกว่า 400 แห่งใน 19 ประเทศและเขตแดน อันเป็นผลมาจากโมเดลบริการอสังหาที่ได้รับการพิสูจน์แล้ว วัฒนธรรมองค์กรคูลเจอร์ (COOLTURE) ที่มีสีสัน การฝึกสอนธุรกิจที่เหนือกว่าบนแพลตฟอร์มวัน ยูนิเวอร์ซิตี้ (ONE University) การสนับสนุนที่โดดเด่น และเทคโนโลยี zONE ที่เป็นกรรมสิทธิ์ของบริษัท บริษัทได้รับการเสนอชื่อให้เป็นแบรนด์อสังหาริมทรัพย์อันดับหนึ่งโดยนิตยสารออนเทอเพรอเนอร์ (Entrepreneur) สามปีติดต่อกัน และยังคงครองตำแหน่งผู้นำอย่างต่อเนื่อง มอบโอกาสให้แก่ลูกค้า ผู้เชี่ยวชาญด้านอสังหาริมทรัพย์ และเจ้าของแฟรนไชส์ สามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.RealtyONEGroup.com
โลโก้ - https://mma.prnasia.com/media2/260011/realty_one_group___logo.jpg?p=medium600
]]>
ออตตาวา ออนแทรีโอ, 28 มี.ค. 2567 /พีอาร์นิวส์ไวร์
เวียดนามเป็นประเทศที่กำลังเดินหน้าและก้าวเป็นศูนย์กลางแห่งใหม่ในเอเชียอย่างรวดเร็ว ด้วยการเติบโตพุ่งพรวดของเศรษฐกิจมหภาคและโอกาส เพื่อช่วยให้ผู้ส่งออกและนักลงทุนสัญชาติแคนาดาสามารถคว้าประโยชน์จากศักยภาพมหาศาลในตลาดแห่งนี้ สำนักงานพัฒนาการส่งออกแคนาดา (Export Development Canada หรือ EDC) ซึ่งเป็นองค์กรการเงินเพื่อการส่งออกของแคนาดา ได้ประกาศวันนี้ว่า ระหว่างที่ภารกิจการค้าทีมแคนาดา (Team Canada Trade Mission) ดำเนินสู่มาเลเซียและเวียดนาม สำนักงานพัฒนาการส่งออกแคนาดาจะเปิดสำนักงานตัวแทนแห่งใหม่ในฤดูใบไม้ผลินี้ในนครโฮจิมินห์ เพื่อให้สามารถมอบสิ่งที่ผู้ส่งออกและนักลงทุนสัญชาติแคนาดาต้องใช้ในการเข้าสู่ตลาดที่เติบโตรวดเร็วนี้ ทั้งนี้ EDC มีเงินทุนมากมายสำหรับใช้ในภูมิภาคแห่งนี้ ตลอดจนข้อมูลความเข้าใจในตลาด ความสัมพันธ์กับบุคคลที่เหมาะสม และผลิตภัณฑ์ประกันภัย จึงสามารถช่วยในการขยายตัวและให้การปกป้องแก่ธุรกิจสัญชาติแคนาดาที่สนใจขยายสู่ตลาดที่มีพลังไม่หยุดนิ่งแห่งนี้
"เวียดนามมีความเฉพาะตัวไม่เหมือนอื่นใด และเสนอโอกาสสำหรับบริษัทและนักลงทุนสัญชาติแคนาดาให้เข้าสู่เศรษฐกิจที่มีศักยภาพมหาศาล ในแง่นี้ EDC เป็นพันธมิตรที่สามารถช่วยได้" คุณไมรีด ลาเวอรี (Mairead Lavery) ประธานและซีอีโอของสำนักงานพัฒนาการส่งออกแคนาดา กล่าว "เวียดนามเสนอผลประโยชน์ทางภูมิศาสตร์ให้แก่ผู้ส่งออกสัญชาติแคนาดาในการเข้าสู่ตลาดแห่งอื่น ๆ ในอินโดแปซิฟิกอย่างง่ายดาย พร้อมทั้งมอบความได้เปรียบด้านต้นทุนการแข่งขันในการทำธุรกิจ เมื่อเหล่านี้ประกอบร่วมกับชนชั้นกลางที่กำลังขยายตัวและเศรษฐกิจที่เติบโตเร็วที่สุดอันดับต้น ๆ ของโลก ผู้ส่งออกและนักลงทุนควรจะมองตลาดนี้เป็นโอกาสสำคัญสำหรับการเติบโตในภูมิภาคแห่งนี้"
เวียดนาม ซึ่งมักถูกมองข้าม ตั้งอยู่ใจกลางอินโดแปซิฟิก ซึ่งทำให้ดึงดูดสำหรับการส่งออกและพัฒนาศูนย์กลางของบริษัท จากข้อมูลของนิวเวิลด์เวลธ์ (New World Wealth) เวียดนามพร้อมที่จะมีการเติบโตของความมั่งคั่งอย่างพุ่งพรวดที่สุดในโลกในทศวรรษข้างหน้านี้ นอกจากนั้น รัฐบาลเวียดนามยังตั้งมั่นที่จะบรรลุความเป็นกลางทางคาร์บอนภายในปี 2593 เช่นนี้สร้างโอกาสสำหรับนักลงทุนและบริษัทในหลากหลายอุตสาหกรรมที่แคนาดามีความแข็งแกร่ง ทั้งเทคโนโลยีสะอาดและพลังงานหมุนเวียน เกษตรกรรม การผลิตและโครงสร้างพื้นฐานก้าวหน้า เป็นต้น
ด้วยสำนักงานตัวแทนแห่งใหม่ของสำนักงานพัฒนาการส่งออกแคนาดา คณะทำงานจะดำเนินงานร่วมกับผู้เชี่ยวชาญของรัฐบาลกลาง รัฐบาลท้องถิ่น และนอกภาครัฐในตลาดแห่งนี้ รวมไปถึงสมาชิกจากบริการคณะกรรมาธิการการค้าแคนาดา (Canadian Trade Commissioner Service) หอการค้าแคนาดา (Canada Chamber of Commerce) ในเวียดนาม และสภาธุรกิจแคนาดา-อาเซียน (Canada-ASEAN Business Council) เพื่อช่วยให้บริษัทสัญชาติแคนาดาคว้าประโยชน์จากโอกาสเหล่านี้ผ่านทุกขั้นของการส่งออก
"ดิฉันยินดีที่ได้มายังเวียดนามในสัปดาห์นี้โดยเป็นส่วนหนึ่งของภารกิจการค้าทีมแคนาดาของเรา เพื่อสร้างความสัมพันธ์ร่วมมือใหม่ระหว่างบริษัทสัญชาติแคนาดากับเวียดนาม" คุณแมรี อึง (Mary Ng) รัฐมนตรีการส่งเสริมการส่งออก การค้าระหว่างประเทศ และการพัฒนาเศรษฐกิจ กล่าว "การเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างรวดเร็วของเวียดนามในภูมิภาคอินโดแปซิฟิก ทำให้ประเทศนี้เป็นศูนย์กลางที่มีแนวโน้มที่ดีสำหรับธุรกิจแคนาดา เวียดนามเป็นคู่ค้ารายใหญ่ที่สุดของแคนาดาในอาเซียน อีกทั้งยังเป็นสมาชิกรายสำคัญของความตกลงที่ครอบคลุมและก้าวหน้าสำหรับหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก (Comprehensive and Progressive Agreement for Trans-Pacific Partnership หรือ CPTPP) จึงมอบแนวโน้มที่ดีให้แก่ผู้ส่งออกและนักลงทุนของเรา ในการนี้ สำนักงานตัวแทนแห่งใหม่ของ EDC ในนครโฮจิมินห์จะเป็นทรัพยากรที่มีค่าสำหรับบริษัทสัญชาติแคนาดาที่ต้องการเติบโตในภูมิภาคอินโดแปซิฟิก"
ด้วยแนวทางแบบรับบริการได้จากทุกที่และมุ่งเน้นโซลูชัน สำนักงานพัฒนาการส่งออกแคนาดาทุ่มเทเพื่อช่วยให้บริษัทสัญชาติแคนาดาขยายความหลากหลายสู่ตลาดแห่งนี้ โดยมอบการเข้าถึงเงินทุนหมุนเวียน ผลิตภัณฑ์ประกันภัยสินเชื่อครบวงจร ความเชี่ยวชาญและองค์ความรู้ และความสัมพันธ์กับบริษัทต่าง ๆ ที่ต้องการผลิตภัณฑ์และบริการของแคนาดา ในแง่นี้ ซีเอ็นซี อินดัสตรีส์ (CNC Industries) ลูกค้าของ EDC ได้ระบุว่าเวียดนามเป็นตลาดที่มีโอกาสเมื่อ 10 ปีก่อนและยังไม่เคยถอยหลัง
"ซีเอ็นซีทำงานร่วมกับสำนักงานพัฒนาการส่งออกแคนาดามาหลายปี และด้วยความช่วยเหลือของการประกันภัยสินเชื่อของสำนักงานพัฒนาการส่งออกแคนาดา ซีเอ็นซีสามารถส่งออกสู่ตลาดโลกรวมถึงเวียดนามได้สำเร็จ" คุณเพอร์รี กิล (Perry Gill) ซีอีโอของซีเอ็นซี อินดัสตรีส์ กล่าว "เราให้ความสนใจเวียดนามตั้งแต่เมื่อสิบกว่าปีที่แล้ว และขณะนี้เวียดนามกำลังกลายเป็นกระดูกสันหลังของการดำเนินงานของเรา เราตระหนักว่าตลาดนี้มีหลายสิ่งพร้อมมอบให้ รวมถึงความง่ายดายและความปลอดภัยในการดำเนินธุรกิจ โดยมีทั้งแรงงานทักษะสูง ภาษาอังกฤษกำลังแพร่หลายมากขึ้น และเทคโนโลยีมิได้เป็นอุปสรรคขวางกั้นการทำธุรกิจ เมื่อผนวกรวมกับที่ตั้งใกล้ประเทศอื่น ๆ ในภูมิภาคอินโดแปซิฟิก เวียดนามจึงเป็นศูนย์กลางที่สมบูรณ์แบบสำหรับการดำเนินงานของคุณ"
ด้วยความต้องการสนับสนุนอนาคตคาร์บอนต่ำที่เพิ่มขึ้น เวียดนามประกาศการตั้งเป้าที่จะบรรลุคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ภายในปี 2593 ระหว่างการประชุมสุดยอดผู้นำโลกของสมัชชาประเทศภาคีอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศครั้งที่ 26 (COP26 World Leaders' Summit) เมื่อปี 2564 และได้มุ่งเน้นความทุ่มเทในกลยุทธ์สภาพภูมิอากาศแห่งชาติอีกครั้ง อันเป็นเป้าหมายที่สำคัญสำหรับประเทศ ซึ่งต้องการการสนับสนุนทั้งในท้องถิ่นและระดับโลก
"ด้วยโซลูชันด้านการปนเปื้อนในดินของเราซึ่งได้รับการยอมรับทั่วโลก เราเข้าสู่ตลาดเวียดนามโดยทราบว่าเราสามารถสนับสนุนเป้าหมายด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และบรรษัทภิบาล (ESG) ของประเทศได้ ตลอดจนให้การคุ้มครองสุขภาพของชุมชนท้องถิ่น" คุณแดร์ริล เนลสัน (Darryl Nelson) ประธานบริษัทเนลสัน เอนไวรอนเมนทอล เรเมดิเอชัน ลิมิเต็ด (Nelson Environmental Remediation Ltd) กล่าว "ประชาชนและรัฐบาลเวียดนามทะเยอทะยานเกี่ยวกับการเติบโตของตน และมุ่งมั่นอย่างมากที่จะสร้างอนาคตความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจที่สดใสสำหรับประเทศของตน ยิ่งไปกว่านั้นยังกระตือรือร้นในการทำงานร่วมกับชาวตะวันตกเพื่อทำเช่นนั้น เมื่อมี EDC และคณะทำงานการค้าของแคนาดาอยู่เคียงข้าง เราทราบว่าเราจะได้พบคนที่เหมาะสมและสร้างโอกาสได้รวดเร็วขึ้นด้วยผลลัพธ์ที่ดียิ่งขึ้น สำนักงานพัฒนาการส่งออกแคนาดามิเพียงสร้างคุณค่า แต่ยังปกป้องธุรกิจของเราและเปิดประตูความเป็นไปได้ที่เราไม่ทราบมาก่อนว่าสามารถบรรลุได้ ผมพูดเสมอว่าจงทำให้ EDC เป็นการรับความสนับสนุนอันดับแรก ๆ ของคุณ แล้วคุณจะดีใจที่ทำเช่นนั้น"
การประกาศครั้งนี้ถือเป็นการตั้งสำนักงานตัวแทนแห่งที่สามในภูมิภาคอินโดแปซิฟิกในช่วงหกเดือนที่ผ่านมา ตอกย้ำการยึดมั่นของสำนักงานพัฒนาการส่งออกแคนาดาในพันธกิจต่อบริษัทสัญชาติแคนาดาที่ต้องการขยายความหลากหลายเข้าสู่ตลาดที่เป็นระยะยาวมากขึ้นและมีการเติบโตสูงกว่า ทั้งนี้โดยเป็นการเติมเต็มสำนักงานตัวแทนที่มีอยู่แล้วของสำนักงานพัฒนาการส่งออกแคนาดาในเดลี มุมไบ เซี่ยงไฮ้ ปักกิ่ง ซิดนีย์ จาการ์ตา โซล และสิงคโปร์
เกี่ยวกับสำนักงานพัฒนาการส่งออกแคนาดา
สำนักงานพัฒนาการส่งออกแคนาดา (Export Development Canada หรือ EDC) เป็นองค์กรการเงินของรัฐบาล ที่มุ่งช่วยธุรกิจแคนาดาในการสร้างผลกระทบทั้งในและต่างประเทศ สำนักงานพัฒนาการส่งออกแคนาดามีผลิตภัณฑ์ทางการเงินและองค์ความรู้ที่บริษัทสัญชาติแคนาดาต้องการ เพื่อการเข้าสู่ตลาดแห่งใหม่ได้อย่างมั่นใจ ลดความเสี่ยงทางการเงิน และขยายธุรกิจจากระดับท้องถิ่นสู่ระดับโลก เมื่อผนึกกำลังกันแล้ว สำนักงานพัฒนาการส่งออกแคนาดาและบริษัทสัญชาติแคนาดาสร้างเศรษฐกิจที่มั่งคั่ง แข็งแกร่ง และยั่งยืนยิ่งขึ้นสำหรับชาวแคนาดาทุกคน
ติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม รวมถึงสอบถามเกี่ยวกับความช่วยเหลือของเราสำหรับบริษัทของคุณ โทร: 1-800-229-0575 หรือ www.edc.ca
สื่อมวลชนกรุณาติดต่อ: ฝ่ายสื่อมวลชน | สำนักงานพัฒนาการส่งออกแคนาดา 1-888-222-4065, media@edc.ca
]]>พอร์ตวิลา, วานูอาตู, 28 มีนาคม 2567 /พีอาร์นิวส์ไวร์/ -- จากความสำเร็จล่าสุดในการปรับปรุงการนำเสนอผลิตภัณฑ์ดัชนี แวนเทจ มาร์เก็ตส์ (Vantage Markets) ("แวนเทจ") บริษัทโบรกเกอร์ CFD (สัญญาซื้อขายส่วนต่าง) ชั้นนำ รู้สึกตื่นเต้นที่จะประกาศเปิดตัวฟีเจอร์เว็บไซต์และแอปที่ได้รับการพัฒนาปรับปรุงให้ดียิ่งขึ้น เพื่อเน้นย้ำสถานะผู้นำในอุตสาหกรรมให้แข็งแกร่งกว่าเดิม
Vantage Markets extends its competitive edge on Indices product offering with enhanced Website and App, promoting greater transparency and cost savings.
ในการสนับสนุนเทรดเดอร์ CFD ของดัชนีต่าง ๆ ให้มากยิ่งขึ้น แวนเทจ (Vantage) ได้ปรับปรุงเว็บไซต์พร้อมด้วยคุณสมบัติใหม่ที่เกี่ยวข้องกับการซื้อขายดัชนีโดยเฉพาะ เทรดเดอร์จะได้รับเนื้อหาความรู้ที่ครอบคลุม การเปรียบเทียบราคากับคู่แข่งที่โปร่งใส และรับทราบถึงสเปรดที่เสนอโดยแวนเทจ มาร์เก็ตส์เพิ่มมากขึ้น
"เรามุ่งมั่นที่จะเพิ่มศักยภาพให้กับเทรดเดอร์ด้วยเครื่องมือที่พวกเขาจำเป็นต้องใช้เพื่อประสบความสำเร็จ" คุณมาร์ก เดส์ปาลลิแยร์ (Marc Despallieres) ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายกลยุทธ์และการเทรดของแวนเทจ กล่าว "การพัฒนาล่าสุดของเรานี้สะท้อนถึงความทุ่มเทที่จะเป็นจุดหมายปลายทางแถวหน้าสำหรับการเทรด CFD ของดัชนีต่าง ๆ โดยมอบความได้เปรียบที่ลูกค้าต้องการท่ามกลางตลาดที่ไม่หยุดนิ่งในปัจจุบัน"
การเทรด CFD ของดัชนีมีข้อดีหลายประการ รวมถึงความต้องการเงินทุนล่วงหน้าที่ลดลง ตัวเลือกการซื้อขายที่มีเลเวอเรจ และความยืดหยุ่นในการซื้อขายทุกรูปแบบ แวนเทจ มาร์เก็ตส์ทำให้เทรดเดอร์สามารถใช้สิทธิประโยชน์เหล่านี้ในขณะที่เข้าถึงชุดเครื่องมือขั้นสูงและคลังทรัพยากรการศึกษาที่ครอบคลุม
นอกจากนี้ แอปแวนเทจ (Vantage App) ยังได้รับการปรับปรุงด้วยเครื่องมือสร้างกราฟขั้นสูง ช่วยให้เทรดเดอร์สามารถวิเคราะห์แนวโน้มของตลาดและดำเนินการซื้อขายได้อย่างแม่นยำโดยตรงจากอุปกรณ์มือถือ
"เรารู้สึกตื่นเต้นที่ได้มอบคอนเทนต์ที่ให้ความรู้มากมายและราคาที่โปร่งใสแก่เทรดเดอร์" คุณเหลียน เจี๋ย (Lian Jie) ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดแอปของแวนเทจ กล่าว "เป้าหมายของเราคือการเสริมศักยภาพให้กับเทรดเดอร์ด้วยข้อมูลที่พวกเขาต้องการเพื่อการตัดสินใจอย่างมั่นใจและประสบความสำเร็จในตลาด"
ค้นพบอนาคตการเทรด CFD ของดัชนีกับแวนเทจ มาร์เก็ตส์ สามารถดูเพิ่มเติมได้ที่ https://www.vantagemarkets.com/lp/indices-trading/
เกี่ยวกับแวนเทจ
แวนเทจ (Vantage) เป็นโบรกเกอร์ผู้ให้บริการซื้อขายสินทรัพย์หลากหลายประเภท โดยเปิดโอกาสให้ลูกค้าเข้าถึงบริการที่ฉับไวและทรงพลังในการเทรดผลิตภัณฑ์สัญญาซื้อขายส่วนต่าง (CFD) ของฟอเร็กซ์, สินค้าโภคภัณฑ์, ดัชนี, หุ้น, กองทุน ETF และพันธบัตร
แวนเทจสั่งสมประสบการณ์ในตลาดมานานกว่า 13 ปี และมีบทบาทมากกว่าแค่โบรกเกอร์ โดยทางบริษัทได้นำเสนอระบบนิเวศการเทรดที่วางใจได้ แอปเทรดผ่านมือถือระดับรางวัล และแพลตฟอร์มเทรดที่ใช้ง่ายขึ้น ซึ่งช่วยลูกค้าคว้าโอกาสในการเทรด สามารถดาวน์โหลดแอปแวนเทจได้ทางแอปสโตร์หรือกูเกิลเพลย์
เทรดอย่างชาญฉลาดกว่าเดิมไปกับ @vantage
http://www.vantagemarkets.com/
- ขยายขอบเขตของพันธุ์พืชที่เป็นเป้าหมายเพื่อเสริมสร้างการสนับสนุนเกษตรกรและมีส่วนร่วมต่อความยั่งยืนทางเกษตรกรรม –
โตเกียว, 28 มีนาคม 2567 /พีอาร์นิวส์ไวร์/ -- บริษัท NEC Corporation (NEC; TSE: 6701) และ Sumitomo Corporation (Sumitomo) ได้ลงนามในข้อตกลงความร่วมมือกลยุทธ์เพื่อขยายการขายโซลูชั่น CropScope ของ NEC ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มเทคโนโลยีสารสนเทศด้านเกษตรกรรม ไปสู่ตลาดโลกของ จากความร่วมมือนี้ NEC และ Sumitomo ตั้งเป้าที่จะพัฒนาตลาดหลักในอเมริกาใต้และภูมิภาคอาเซียนโดยใช้เครือข่ายระดับโลกของ Sumitomo เพื่อการนี้ NEC จะขยายขอบเขตของพืชเป้าหมายเพิ่มเติมจากการสนับสนุนการปลูกมะเขือเทศและเพิ่มฟังก์ชันเพื่อปรับปรุงและประหยัดกระบวนการต่างๆ ตั้งแต่การปลูกจนถึงการเก็บเกี่ยวและการแปรรูป ผ่านความร่วมมือนี้ ทั้งนี้ CropScope ได้ถูกนำเสนอเบื้องต้นในรูปแบบทดลองให้กับบริษัทน้ำตาลชั้นนำในประเทศไทยและบราซิล
ข้อมูลเบื้องต้น
เนื่องจากการเติบโตของประชากรและการพัฒนาเศรษฐกิจที่คาดว่าจะเพิ่มความต้องการอาหารระดับโลก มีความกังวลว่าการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศจะมีผลกระทบอย่างรุนแรงต่อผลผลิตที่เก็บเกี่ยวได้ นอกจากนี้ การระบาดของโรคเมื่อไม่นานมานี้และสถานการณ์โลกที่ไม่มั่นคงได้ทำให้ราคาวัสดุการเกษตรพุ่งสูงขึ้นและการส่งออกถดถอย ส่งผลถึงความมั่นคงในการจัดหาอาหาร การเพิ่มผลผลิตทางการเกษตรจึงเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อความเพียงพอด้านอาหารในระดับโลก และประเทศที่การเกษตรเป็นอุตสาหกรรมหลักต้องเผชิญกับความท้าทายในการอัพเกรดเทคโนโลยีการผลิตและเพิ่มประสิทธิภาพการจัดการฟาร์ม
สรุปความร่วมมือ
1) ขยายการขาย CropScope ไปยังประเทศที่กำลังพัฒนา
Sumitomo มีเครือข่ายองค์กรภูมิภาคใน 65 ประเทศทั่วโลกและดำเนินการขายและจัดจำหน่ายวัสดุการเกษตร เช่น สารเคมีเกษตรและปุ๋ยในประมาณ 40 ประเทศ โดยที่ผ่านทางความร่วมมือนี้ Sumitomo จะใช้เครือข่ายระดับโลกของตนในการขยายขอบเขตการขายของ CropScope ไปยังประเทศไทย บราซิล และอินเดีย เพื่อเป้าหมายในการเติบโตของธุรกิจ
2) ขยายขอบเขตของพันธุ์พืชและบูรณาการการจัดการตั้งแต่การปลูกจนถึงการแปรรูป
CropScope ได้รับการขยายขอบเขตความสามารถของโซลูชั่นให้รองรับการปลูก อ้อย, ข้าวสาลี, ถั่วเหลือง, และข้าวโพด เป็นพืชเป้าหมายนอกเหนือจากมะเขือเทศ โดยนำAI มาใช้กับพืชเหล่านี้โดยเรียนรู้จากข้อมูลการเกษตรและการเก็บเกี่ยวในอดีตเพื่อแนะนำเวลาและปริมาณการเก็บเกี่ยวที่เหมาะสมที่สุด และจะเพิ่มฟังก์ชั่นการวางแผนการเก็บเกี่ยวเพื่อจัดการการวางแผนและผลลัพธ์ของการเก็บเกี่ยว การรวมฟังก์ชันนี้กับการปรับปรุงการใช้ปุ๋ยและการชลประทานที่มีอยู่จะทำให้สามารถจัดการได้อย่างครอบคลุมตั้งแต่การปลูกจนถึงการเก็บเกี่ยวและการแปรรูป
การพัฒนาในอนาคต
NEC ได้ปรับปรุงฟังก์ชันของ CropScope อย่างต่อเนื่องและทำงานร่วมกับพันธมิตรหลากหลายเพื่อตอบสนองความต้องการที่หลากหลายของลูกค้าที่เกี่ยวข้องกับการผลิตด้านการเกษตร ความร่วมมือนี้กับ Sumitomo ซึ่งมีเครือข่ายโลกที่กว้างขวางและความรู้ความเชี่ยวชาญอย่างลึกซึ้งในด้านเกษตรกรรมและอาหารจะเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญในการขยายการขาย CropScope ไปทั่วโลก
Sumitomo มุ่งเน้นการพัฒนาธุรกิจใหม่ที่มีส่วนร่วมต่อการผลิตอาหารอย่างยั่งยืนด้วยประสิทธิภาพสูงและผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมต่ำโดยใช้เทคโนโลยีขั้นสูง นอกจากนี้ยังขยายฐานธุรกิจที่มีอยู่ในสาขาการเกษตรและอาหาร หนึ่งในธีมสำคัญคือการเกษตรอัจฉริยะ (Smart Farming) ซึ่งช่วยให้การผลิตอาหารที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพสูงโดยใช้เทคโนโลยีเช่น ระบบการดำเนินงานทางการเกษตรและการวิเคราะห์ข้อมูลแบบอัตโนมัติ โดยความร่วมมือกับ NEC ในการสร้างเทคโนโลยี AI สำหรับสาขาการเกษตรและสาขาอื่นๆ นี้ ถือเป็นก้าวที่สำคัญอย่างยิ่ง
NEC และ Sumitomo จะยังคงขยายขอบเขตของพันธุ์พืชที่ให้ความสนใจและฟังก์ชั่นของ CropScope ในขณะที่ตอบสนองต่อปัญหาและความต้องการของสถานที่ผลิตและแปรรูปเกษตรกรรม การดำเนินการนี้จะเป็นส่วนหนึ่งของการสนับสนุนการเกษตรที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและทำกำไรได้ในระดับโลกของบริษัท และเพื่อสนับสนุนการเกษตรยั่งยืนและความมั่นคงด้านอาหารระดับโลก
]]>เจเรห์ (Jereh) สร้างความประทับใจในมหกรรมเทคโนโลยีและอุปกรณ์ปิโตรเลียมและปิโตรเคมีนานาชาติจีน (China International Petroleum & Petrochemical Technology and Equipment Exhibition) ครั้งที่ 23 ประจำปี 2567 หรือ cippe2024 ณ กรุงปักกิ่ง ด้วยการจัดแสดงนวัตกรรมก้าวหน้าล้ำสมัยภายใต้ธีม "โซลูชันการใช้ประโยชน์อัจฉริยะเทคโนโลยีคาร์บอนต่ำ"
บนพื้นที่จัดแสดงขนาดใหญ่ 1,500 ตารางเมตร เจเรห์นำเสนออุปกรณ์และโซลูชันระดับไฮเอนด์ในหลากหลายหมวด อย่างเช่น น้ำมัน ก๊าซธรรมชาติ การพิทักษ์สิ่งแวดล้อม วิศวกรรมทางทะเล และอื่น ๆ ควบคู่ไปกับช่วงรายการนำเสนอข้อมูลทางเทคนิค การจัดแสดงดังกล่าวนี้ชูความก้าวหน้าของเจเรห์ในการมอบโซลูชันที่ดีที่สุดสำหรับอุตสาหกรรมน้ำมันและก๊าซ ตลอดจนในการขับเคลื่อนการพัฒนาด้านพลังงานคุณภาพสูง ภายใต้เทรนด์คาร์บอนต่ำและความอัจฉริยะ
ไฮไลท์สำคัญของการจัดแสดงได้แก่การเปิดตัว กรีนเวล (GreenWell) โซลูชันพลิกวงการที่จัดการกับความท้าทายด้านการกำจัดของเสียเป็นพิษแบบรวมศูนย์ อุปกรณ์นวัตกรรมนี้มอบการบำบัด ณ สถานดำเนินงานโดยไม่ต้องมีขั้นตอนตัวกลาง จึงช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของกระบวนการได้เป็นอย่างมาก ขณะที่ลดของเสียและเอื้อให้สามารถรีไซเคิลน้ำเสียภายในระบบ ดีไซน์แบบแยกส่วนทำให้ขนย้ายระหว่างสถานดำเนินงานได้ง่าย พร้อมรองรับความต้องการของพื้นที่ขุดเจาะหลากหลายแบบ เมื่อเทียบกับวิธีการแบบดั้งเดิม กรีนเวลเสนอการประหยัดต้นทุนและประโยชน์ด้านสิ่งแวดล้อม จึงเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับการสร้างบ่อน้ำมันที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
อุปกรณ์นวัตกรรมนี้จัดการความท้าทายที่เกี่ยวข้องกับการขจัดของเสียเป็นพิษแบบรวมศูนย์ มอบการบำบัด ณ สถานดำเนินงานโดยไม่มีขั้นตอนตัวกลาง จึงช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของกระบวนการได้อย่างมาก โดยลดของเสียจากน้ำมันที่บ่อน้ำมันได้มากกว่า 20% และมีอัตรากู้คืนสูงถึง 95% สำหรับน้ำมันพื้นฐาน พร้อมทั้งเอื้อให้สามารถรีไซเคิลน้ำเสียภายในระบบโดยไม่มีการปล่อยทิ้ง
เจเรห์ ยังได้เปิดตัวอุปกรณ์ขุดเจาะฉีดกะเทาะเทอร์ไบน์ เจเรห์ อะพอลโลรุ่นใหม่ (Jereh Apollo Turbine Fracturing Equipment) มาในดีไซน์แบบบูรณาการ เพื่อการขนส่งและปฏิบัติการที่มีประสิทธิภาพ มาพร้อมกับปั๊มลูกสูบทรงพลัง 5,000 แรงม้า พร้อมมอบประสิทธิภาพของปฏิบัติการและความเชื่อถือได้สำหรับการพัฒนาด้านน้ำมันและก๊าซ
บูธจัดแสดงของเจเรห์ดึงดูดผู้เข้าชมอย่างต่อเนื่อง โดยหลายรายแสดงความสนใจอย่างมากในเทคโนโลยีและผลิตภัณฑ์ใหม่ล่าสุดของเจเรห์ โดยเฉพาะโซลูชันขุดเจาะฉีดกะเทาะ (fracturing) คาร์บอนต่ำ ศูนย์บัญชาการน้ำมันอัจฉริยะ โซลูชันเพิ่มแรงดันก๊าซ และโซลูชันการดักจับ การใช้ประโยชน์ และการกักเก็บคาร์บอน (CCUS) แบบบูรณาการ เป็นต้น
เซาเปาโล, 28 มีนาคม 2567 /พีอาร์นิวส์ไวร์/ -- มูลนิธิแวนเทจ (Vantage Foundation) มีความยินดีที่จะประกาศความร่วมมือกับอินสติตูโต คลาเร็ต (Instituto Claret) ซึ่งเป็นองค์กรการกุศลที่มีชื่อเสียงในบราซิล
อินสติตูโต คลาเร็ตมีโครงการต่างๆ มากมาย รวมถึงการสนับสนุนเด็ก ครอบครัว การป้องกันความรุนแรง การช่วยเหลือคนไร้บ้าน ความมั่นคงทางอาหาร และอาชีวศึกษา โครงการริเริ่มเหล่านี้ได้ช่วยเหลือผู้คนหลายพันชีวิตในทุกเดือน ซึ่งตอกย้ำถึงความมุ่งมั่นขององค์กรในการส่งเสริมชุมชนผู้ด้อยโอกาส
"อินสติตูโต คลาเร็ตมุ่งมั่นสนับสนุนผู้คนที่อยู่ในสถานการณ์ที่เปราะบางผ่านบริการและโครงการที่ให้ความสำคัญกับผู้คนเป็นหลัก ซึ่งได้รับการปรับแต่งให้เหมาะกับกลุ่มคนในทุกช่วงวัย ตั้งแต่เด็กเล็กไปจนถึงผู้สูงอายุ รวมถึงครอบครัวและวัยรุ่นที่ต้องการความช่วยเหลือหลังเลิกเรียน" พอลล่า โรดริเกซ ดิเอโก อังเกอร์ (Paula Rodrigues Diego Unger) ผู้จัดการของอินสติตูโต คลาเร็ต กล่าว
"ภารกิจของเราคือการช่วยเหลือผู้คนให้บรรลุศักยภาพสูงสุดของพวกเขา เราสามารถให้ที่พักพิงแก่พวกเขา รวมถึงรับฟังความต้องการและความใฝ่ฝันของพวกเขาได้ผ่านการจัดหาสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัย ซึ่งช่วยให้เราสามารถนำเสนอความช่วยเหลือที่ปรับให้เหมาะสม และเชื่อมโยงพวกเขาเข้ากับการสนับสนุนที่จำเป็น เช่น การศึกษา การดูแลสุขภาพ และการสนับสนุนสิทธิของพวกเขา"
ความร่วมมือดังกล่าวเป็นตัวอย่างความมุ่งมั่นร่วมกันต่อการมีใจรักเพื่อนมนุษย์ และจิตสาธารณะเกี่ยวกับสังคม โดยทั้งสองหน่วยงานได้ยืนหยัดร่วมกันในภารกิจของตนเพื่อเร่งการพัฒนาชุมชนที่มีความหมาย โครงการริเริ่มร่วมกับอินสติตูโต คลาเร็ตเป็นส่วนหนึ่งของโครงการต่างๆ ที่มูลนิธิแวนเทจดำเนินการ ซึ่งตอกย้ำความมุ่งมั่นอย่างต่อเนื่องขององค์กรในการสร้างผลกระทบเชิงบวกทั่วโลก
"มูลนิธิแวนเทจยังคงมุ่งมั่นสร้างการเปลี่ยนแปลงเชิงบวกในรูปแบบที่มีความหมายทั่วโลก" สตีเวน เซีย (Steven Xie) กรรมการบริหารของมูลนิธิแวนเทจ กล่าว "เรามีส่วนร่วมกับพันธมิตรของเราผ่านโครงการริเริ่มแต่ละโครงการที่เราดำเนินการเพื่อส่งมอบอนาคตสำหรับทุกคนโดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง"
นับตั้งแต่การเปิดตัวที่ศูนย์ McLaren Technology Centre ในสหราชอาณาจักรโดยได้รับการสนับสนุนจากสำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ (UN Refugee Agency: UNHCR) และเอ็นอีโอเอ็ม แม็คลาเรน เอ็กซ์ตรีม อี ทีม (NEOM McLaren Extreme E Team) ในช่วงปลายปี 2566 มูลนิธิแวนเทจได้ขยับขยายการดำเนินงานออกไปโดยรวมประเทศต่างๆ อาทิเช่น มาเลเซียและสิงคโปร์ ทั้งนี้เมื่อเดือนที่แล้ว มูลนิธิแวนเทจยังได้ร่วมมือกับมูลนิธิไออาร์อีดีอี (iREDE) เพื่อสนับสนุนเด็กพิการในไนจีเรียอีกด้วย
หากต้องการทราบข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับอินสติตูโต คลาเร็ต โปรดเข้าไปที่ https://www.institutoclaret.org.br
เกี่ยวกับมูลนิธิแวนเทจ
มูลนิธิแวนเทจเป็นองค์กรการกุศลอิสระที่เปิดตัวที่ศูนย์ McLaren Technology Centre ในสหราชอาณาจักร โดยได้รับการสนับสนุนจากสำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ (UNHCR) และเอ็นอีโอเอ็ม แม็คลาเรน เอ็กซ์ตรีม อี ทีมในปี 2566 สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม โปรดไปที่ www.vantage.foundation
กรุงเทพ, 28 มีนาคม 2567 /พีอาร์นิวส์ไวร์/ -- ซันโกรว์ (Sungrow) ผู้นำระดับโลกด้านอินเวอร์เตอร์พลังงานแสงอาทิตย์ (PV Inverter) และระบบกักเก็บพลังงานได้ลงนามทำสัญญาจัดหาเชิงยุทธศาสตร์กับบริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) (Gulf Energy Development Plc) หรือกัลฟ์ (GULF) ของประเทศไทย เพื่อจัดหาอินเวอร์เตอร์พลังงานแสงอาทิตย์และระบบกักเก็บพลังงานระบายความร้อนด้วยของเหลวสำหรับการใช้งานในโครงการที่มีกำลังการผลิต 3.5 กิกะวัตต์พีค (GWp) ตลอดระยะเวลาอีก 7 ปีข้างหน้า ทั้งนี้ ภายใต้กรอบการทำงานของแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศ (Power Development Plan: PDP) ฉบับล่าสุดของประเทศไทย หลังจากที่เชื่อมต่อโครงการทั้งหมดเข้ากับกริดไฟฟ้าและดำเนินงานแล้ว โครงการเหล่านี้ก็จะสามารถช่วยแก้ไขปัญหาราคาค่าไฟที่พุ่งสูง เพิ่มประสิทธิภาพให้แก่โครงสร้างการจ่ายพลังงาน ยกระดับความมั่นคงและความสามารถพึ่งพาตนเองด้านพลังงานให้ประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งยังสามารถสร้างแบบอย่างให้แก่การพัฒนาพลังงานหมุนเวียนในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ประเทศไทยเป็นเขตเศรษฐกิจที่มีความสำคัญในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และอุตสาหกรรมพลังงานแสงอาทิตย์ของไทยจะช่วยเปิดรับโอกาสให้เกิดการพัฒนามากมายอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ในฐานะที่กัลฟ์เป็นหนึ่งในบริษัทผลิตพลังงานเอกชนรายใหญ่ที่สุดของประเทศ การผลิตพลังงานหมุนเวียนก็เป็นหนึ่งในธุรกิจหลักของกัลฟ์ จากการร่วมมือครั้งนี้ ซันโกรว์จะจัดหาสตริงอินเวอร์เตอร์ SG350HX และระบบกักเก็บพลังงานพาวเวอร์ไททัน (PowerTitan) คุณภาพชั้นนำของอุตสาหกรรม ทั้งนี้ การบูรณาการระหว่างระบบกักเก็บพลังงานและพลังงานแสงอาทิตย์หรือโฟโตวอลเทอิก (Photovoltaic) แบบเชิงลึกสามารถรับรองได้ว่าโรงผลิตไฟฟ้าจะดำเนินงานได้อย่างมีเสถียรภาพและประสิทธิภาพ โดยสามารถจัดส่งไฟฟ้าจากพลังงานสะอาดไปยังกริดได้อย่างต่อเนื่อง และทำให้เกิดโครงการที่จะกลายเป็นเกณฑ์มาตรฐานให้แก่ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
คุณสารัชถ์ รัตนาวะดี ซีอีโอของกัลฟ์ เอ็นเนอร์จีกล่าวว่า "การร่วมมือกันในครั้งนี้สะท้อนให้เห็นความมุ่งมั่นของทั้งกัลฟ์และซันโกรว์เพื่อผลักดันให้ภาคธุรกิจพลังงานหมุนเวียนเกิดการเติบโต และเป็นไปตามยุทธศาสตร์ของกัลฟ์ในการเป็นพันธมิตรกับบริษัทผู้จัดหาชั้นนำและมีชื่อเสียงในอุตสาหกรรม เพื่อรับประกันได้ว่าระบบกักเก็บพลังงานและอินเวอร์เตอร์ที่ได้รับจัดหาให้จะมีคุณภาพและประสิทธิภาพสูงที่สุด เราเชื่อมั่นว่าซันโกรว์มีความสามารถที่จะดำเนินการโครงการทั้งหมดด้วยคุณภาพในระดับสูงสุด และเรารอคอยที่จะได้ทำงานร่วมกับซันโกรว์ในอนาคตอย่างต่อเนื่องเพื่อเร่งให้เกิดการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างการใช้พลังงานของประเทศไทยให้เร็วขึ้น และดำเนินการร่วมกันเพื่อสนับสนุนให้เกิดการพัฒนาอย่างยั่งยืนในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้"
เกี่ยวกับซันโกรว์
บริษัท ซันโกรว์ พาวเวอร์ ซัพพลาย จำกัด (Sungrow Power Supply Co., Ltd.) เป็นแบรนด์อินเวอร์เตอร์พลังงานแสงอาทิตย์ (PV inverter) และผู้จัดหาระบบกักเก็บพลังงานชั้นนำของโลกด้วยจำนวนการติดตั้งมากกว่า 515 กิกะวัตต์ทั่วโลก ณ เดือนธันวาคม 2566 บริษัทก่อตั้งขึ้นในปี 2540 โดยศาสตราจารย์เฉา เหรินเซียน และก้าวขึ้นเป็นผู้นำด้านการวิจัยและพัฒนาอินเวอร์เตอร์พลังงานแสงอาทิตย์ โดยมีทีมวิจัยและพัฒนาเฉพาะทางที่ใหญ่ที่สุดในอุตสาหกรรม อีกทั้งยังมีกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายครอบคลุมอินเวอร์เตอร์พลังงานแสงอาทิตย์และระบบกักเก็บพลังงานที่รองรับการใช้งานระดับสาธารณูปโภค พาณิชย์และอุตสาหกรรม และครัวเรือน นอกจากนี้ บริษัทยังมีโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์แบบทุ่นลอยน้ำ โซลูชันรถยนต์พลังงานใหม่ (NEV) โซลูชันสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า (EV) และระบบผลิตพลังงานไฮโดรเจนหมุนเวียนซึ่งเป็นที่ยอมรับในระดับสากล ทั้งนี้ ซันโกรว์มีประวัติการทำงานที่แข็งแกร่งตลอด 27 ปีในอุตสาหกรรมพลังงานแสงอาทิตย์ และผลิตภัณฑ์ของบริษัทช่วยสนับสนุนการผลิตไฟฟ้าในกว่า 170 ประเทศ ดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับซันโกรว์ได้ที่เว็บไซต์ www.sungrowpower.com
สิงคโปร์, 28 มีนาคม 2567 /พีอาร์นิวส์ไวร์/
เอบีซี อิมแพค (ABC Impact) บริษัทไพรเวทอิควิตี้ชั้นนำแห่งเอเชีย เปิดตัวรายงานสรุปผลงานด้านความเปลี่ยนแปลง (Impact Review) ฉบับที่ 4 เพื่อสรุปความสำเร็จครั้งสำคัญในปี 2566 รายงานนี้แสดงให้เห็นถึงการเดินทางของบริษัทในการเชื่อมโยงภูมิภาค ความรู้ และ เทคโนโลยี เพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยืนและมีความหมายทั่วทั้งทวีปเอเชีย
คุณโทว เฮง ตัน (Tow Heng Tan) ประธานเอบีซี อิมแพค กล่าวว่า "ที่เอบีซี อิมแพค เราขับเคลื่อนด้วยวิสัยทัศน์เพื่อวันพรุ่งนี้ที่ดีกว่า และความมุ่งมั่นที่จะทำให้สิ่งนี้เป็นจริง ภารกิจของเราเป็นมากกว่าแค่การลงทุน แต่ยังเป็นการจุดประกายการเคลื่อนไหวเพื่อสร้างความเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยืน ในขณะที่เราก้าวเข้าสู่ปีที่ 5 ของการลงทุน เรากำลังเผชิญกับความท้าทายที่อยู่ข้างหน้าด้วยความกล้าหาญและความเชื่อมั่น โดยตระหนักดีว่าการกระทำที่ขับเคลื่อนด้วยวัตถุประสงค์ของเราในวันนี้จะเป็นสิ่งที่กำหนดภูมิทัศน์ของวันพรุ่งนี้"
ติดตามความเปลี่ยนแปลงที่วัดผลได้ของเรา
จากกองทุนเริ่มแรกของเราในปี 2562 เอบีซี อิมแพค ได้ลงทุนในบริษัท 13 แห่งทั่วเอเชียและยุโรป และประสบความสำเร็จในการถอนตัวออกจากธุรกิจหนึ่งครั้ง บริษัทในแฟ้มผลงานของเราที่ครอบคลุมการลงทุนจำนวนสี่ด้าน ได้แก่ การมีส่วนร่วมทางการเงินและดิจิทัล สุขภาพและการศึกษาที่ดีขึ้น โซลูชันด้านสภาพภูมิอากาศและน้ำ และอาหารและการเกษตรที่ยั่งยืน ได้ร่วมกันส่งมอบผลลัพธ์ด้านความเปลี่ยนแปลงสำหรับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียดังต่อไปนี้:
เพื่อสานต่อความสำเร็จของกองทุนแรกของเรา เอบีซี อิมแพคได้เปิดตัวกองทุน Fund II ในเดือนสิงหาคม 2566 โดยมีมูลค่ากว่า 550 ล้านดอลลาร์สหรัฐในการปิดบัญชีครั้งแรก ความสำเร็จนี้สะท้อนให้เห็นถึงความไว้วางใจและการสนับสนุนจากนักลงทุนรายใหม่ ซึ่งรวมถึงกองทุนความมั่งคั่งแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ตลอดจนพันธมิตรที่มีอยู่เดิมอย่างเทมาเส็ก ทรัสต์ (Temasek Trust) และเทมาเส็ก (Temasek) ตอกย้ำความเชื่อมั่นที่เพิ่มขึ้นต่อผลตอบแทนจากการลงทุนเพื่อความเปลี่ยนแปลง และกลยุทธ์การลงทุนที่มีระเบียบวินัยและอิงหลักฐานเชิงประจักษ์ของเรา
คุณเดวิด เฮง (David Heng) ซีอีโอของเอบีซี อิมแพค กล่าวว่า "แนวทางของเราเป็นมากกว่าการลงทุน แต่ยังเกี่ยวข้องกับความร่วมมือ นวัตกรรม และความสามารถในการรับมือ ผมรู้สึกเป็นเกียรติที่ได้เป็นผู้นำทีมที่อุทิศตนเพื่อขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงเชิงบวกทั่วเอเชีย เราจะร่วมกันสำรวจภูมิทัศน์ที่ซับซ้อนของการลงทุนเพื่อความเปลี่ยนแปลง ใช้ประโยชน์จากความเชี่ยวชาญร่วมกันของเราเพื่อปลดล็อกโอกาสและจัดการกับความท้าทายที่เร่งด่วน เราพร้อมที่จะก้าวไปข้างหน้าด้วยความมุ่งมั่นอย่างแน่วแน่เพื่อสร้างสะพานและอนาคตที่สดใสและครอบคลุมยิ่งขึ้นสำหรับทุกคน"
ต่อสู้ปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศด้วยนวัตกรรม
รายงานสรุปผลงานด้านความเปลี่ยนแปลงประจำปี 2566 ตอกย้ำจุดมุ่งหมายของเอบีซี อิมแพคในการใช้เทคโนโลยีเพื่อจัดการกับความท้าทายด้านสิ่งแวดล้อมอย่างมลพิษจากพลาสติกและเศษอาหาร แนวทางของเราครอบคลุมการร่วมมือกับบริษัทที่นำเสนอโซลูชันอันทันสมัยในด้านเหล่านี้
ในปีนี้ เราได้สนับสนุนโพลีแมทีเรีย (Polymateria) ซึ่งเป็นบริษัทสัญชาติอังกฤษที่พัฒนาเทคโนโลยีการเปลี่ยนรูปทางชีวภาพเพื่อช่วยลดมลพิษจากพลาสติก เทคโนโลยีนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อสลายพลาสติกในลักษณะที่ช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นแนวทางแก้ไขที่เป็นไปได้สำหรับปัญหาขยะพลาสติกในปัจจุบัน
นอกจากนี้ เรายังลงทุนในวินโนว (Winnow) ซึ่งใช้เอไอในการจัดการเศษอาหารให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ระบบของวินโนวช่วยให้ห้องครัวเชิงพาณิชย์ลดปริมาณขยะที่ไม่จำเป็นด้วยการมอบข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับการใช้วัตถุดิบอาหาร ซึ่งสามารถนำไปสู่การลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมได้อย่างมาก
ด้วยการลงทุนเหล่านี้ เอบีซี อิมแพคพยายามที่จะมีส่วนร่วมเชิงบวกเพื่อความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อมโดยการสนับสนุนโซลูชันที่สามารถปรับขนาดได้และใช้งานได้จริงเพื่อต่อสู้กับขยะที่นำไปสู่ปัญหาด้านสภาพอากาศ
รักษามาตรฐานในการลงทุนเพื่อความเปลี่ยนแปลง
เอบีซี อิมแพค สำรวจภูมิทัศน์ที่ไม่หยุดนิ่งของการลงทุนเพื่อความเปลี่ยนแปลงด้วยความมุ่งมั่นอย่างแน่วแน่ด้านความโปร่งใสและการวัดความเปลี่ยนแปลงที่แข็งแกร่ง แนวทางของเรามีรากฐานมาจากระบบที่ครอบคลุมซึ่งไม่เพียงเน้นย้ำถึงความทุ่มเทของเราในการลงทุนที่ยั่งยืนและมีความรับผิดชอบ แต่ยังเป็นตัวกำหนดการตัดสินใจของเรา
ในปี 2566 เราได้ยกระดับความมุ่งมั่นโดยการปรับการวัดความเปลี่ยนแปลงของเราให้สอดคล้องกับมาตรฐานสากล และยังได้รับการรับรองบี คอร์ป (B Corp) ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความทุ่มเทอย่างต่อเนื่องในการดูแลสังคมและสิ่งแวดล้อม
อนาคตที่คาดหวัง: การขับเคลื่อนสู่อนาคตที่ยั่งยืน
เอบีซี อิมแพค ตระหนักดีถึงแนวโน้มสำคัญที่มีอิทธิพลต่อภาพรวมการลงทุนเพื่อความเปลี่ยนแปลง ครอบคลุมการพัฒนาระบบอาหารที่ยั่งยืน การอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพที่ดีขึ้น ความพยายามในการต่อต้านการฟอกเขียว ความสำคัญที่เพิ่มขึ้นของการลงทุนภาคเอกชนในตลาดเกิดใหม่ และความไว้วางใจที่เพิ่มขึ้นเกี่ยวกับการทำกำไรของการลงทุนเพื่อความเปลี่ยนแปลง
โครงการริเริ่มที่กำลังดำเนินอยู่ของเรา ซึ่งได้รับการสนับสนุนด้วยข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับตลาดเหล่านี้ มีเป้าหมายขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงเชิงบวกที่สำคัญทั่วทั้งภูมิภาค ซึ่งสอดคล้องกับภารกิจของเราในการส่งเสริมอนาคตที่ยั่งยืนและยุติธรรม
หลังจากการเปิดตัวกองทุน Fund II ที่ประสบความสำเร็จ เอบีซี อิมแพคได้จุดประกายความมุ่งมั่นในการแสวงหาแนวทางแก้ไขปัญหาทั่วโลกอีกครั้ง และนำแนวทางเหล่านี้มาสู่เอเชียเพื่อใช้แก้ไขปัญหาสังคมและสิ่งแวดล้อมที่เร่งด่วนในทวีปที่เต็มไปด้วยความหลากหลายนี้ เรายังคงมีเป้าหมายในการสนับสนุนอนาคตที่ยั่งยืนผ่านการลงทุนในโครงการริเริ่มที่สามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงเชิงบวกที่สำคัญในภูมิภาค
ติดตามเราบนเส้นทางเพื่อความเปลี่ยนแปลงอันทรงพลังนี้ได้ที่ www.abcimpact.com.sg/impactreview2023
หากมีข้อสงสัย: jfang@eleven.com.sg
เกี่ยวกับ เอบีซี อิมแพ็ค
เอบีซี อิมแพ็ค (ABC Impact) คือกองทุนหุ้นนอกตลาดที่มุ่งลงทุนในเอเชียและอุทิศตนเพื่อการลงทุนที่สร้างความเปลี่ยนแปลง เราลงทุนในบริษัทที่ขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงเชิงบวกและจัดการกับความท้าทายเร่งด่วนที่สุดของโลก เช่น การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การขาดแคลนทรัพยากร และความเหลื่อมล้ำที่ทวีความรุนแรงมากขึ้น
เอบีซี อิมแพค เป็นส่วนหนึ่งของบริษัทจัดการสินทรัพย์ระดับโลกในสิงคโปร์อย่างเทมาเส็ก ทรัสต์ แอสเซต เมเนจเมนต์ (Temasek Trust Asset Management Pte Ltd.) โดยมีผู้ร่วมก่อตั้งได้แก่เทมาเส็ก ทรัสต์ (Temasek Trust), เทมาเส็ก (Temasek), พาวิลเลียน แคปิตอล (Pavilion Capital), เมเปิลทรี อินเวสต์เมนต์ส (Mapletree Investments), ซีทาวน์ โฮลดิงส์ (Seatown Holdings), เอสพี กรุ๊ป (SP Group) และเซมบ์คอร์ป อินดัสทรีส์ (Sembcorp Industries)
เราเป็นผู้ลงนามในหลักปฏิบัติการเพื่อการจัดการผลกระทบ (Operating Principles for Impact Management) และหลักการเพื่อการลงทุนอย่างมีความรับผิดชอบ (Principles for Responsible Investment) ที่ได้รับการสนับสนุนจากสหประชาชาติ
เรียนรู้ข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.abcimpact.com.sg
]]>จีเอซี (GAC) ผู้ผลิตรถยนต์ชั้นนำ เปิดตัวรถยนต์รุ่น M8 และ M6 Pro ที่ตลาดเฝ้ารออย่างเป็นทางการในฟิลิปปินส์ ขยายผลิตภัณฑ์รถยนต์ที่วางจำหน่ายในประเทศเป็น 7 รุ่น การเปิดตัวรถยนต์อเนกประสงค์ระดับหรูครั้งนี้มุ่งเป้ากำหนดนิยามใหม่ด้านประสบการณ์การเดินทางสำหรับผู้บริโภคชาวฟิลิปปินส์ โดยนำเสนอสมรรถนะ ความปลอดภัย และนวัตกรรมที่เหนือชั้น
เมื่อวันที่ 22 มีนาคม 2567 แขกผู้มีเกียรติราว 300 คนได้เข้าร่วมงานเปิดตัวรถยนต์รุ่น M6 Pro ซึ่งรวมถึงผู้บริหารจากแอสทารา ฟิลิปปินส์ (Astara Philippines) แบรนด์พันธมิตรอันทรงเกียรติของจีเอซี ตลอดจนพันธมิตรตัวแทนจำหน่าย สื่อด้านยานยนต์และไลฟ์สไตล์ และแขกระดับวีไอพี ไปจนถึงแบรนด์แอมบาสเดอร์อย่างดิงดอง ดันเตส (Dingdong Dantes) และมาเรียน ริเวอร่า (Marian Rivera) หนึ่งในคู่รักที่ทรงอิทธิพลที่สุดในแวดวงธุรกิจการแสดงของฟิลิปปินส์ ที่ได้ร่วมกล่าวแสดงความยินดีภายในงานและแบ่งปันข้อมูลเชิงลึกระหว่างการสัมภาษณ์พิเศษบนเวที
M6 Pro ผสมผสานการใช้งานจริงและความซับซ้อนเหนือระดับเข้าไว้ด้วยกัน ออกแบบมาสำหรับครอบครัวยุคใหม่ที่ต้องเดินทางเป็นประจำ ด้วยระยะฐานล้อ 2,810 มม. รถยนต์อเนกประสงค์ขนาดกว้างนี้มาพร้อมเก้าอี้แถวสองแบบแยกเดี่ยวพร้อมระบบปรับอากาศอัตโนมัติแบบดูอัลโซนเพื่อความสะดวกสบายที่ไม่มีใครเทียบได้ สำหรับรายละเอียดด้านความปลอดภัยประกอบด้วยถุงลมนิรภัยคู่หน้าและถุงลมนิรภัยบริเวณม่าน ระบบขับขี่ปลอดภัย ADAS และที่ยึด ISOFIX สำหรับเบาะนั่งของเด็กเพื่อความปลอดภัยในการเดินทาง
เพื่อเป็นการเฉลิมฉลองการเปิดตัวรถยนต์รุ่น M6 Pro จีเอซีได้จัดแสดงรถ SUV สำหรับครอบครัวชนิด 7 ที่นั่งนี้ต่อสาธารณะเป็นเวลาสามวัน โดยเปิดโอกาสให้ลูกค้าในท้องถิ่นได้สัมผัสพื้นที่กว้างขวาง ความสะดวกสบายสูงสุด และความคล่องตัวของรถยนต์รุ่นดังกล่าวด้วยตนเอง งานจัดแสดงภายใต้แนวคิด "วันครอบครัวจีเอซี" (GAC Family Day) ครั้งนี้นำเสนอการทดลองขับ การบรรยายให้ความรู้เกี่ยวกับการขับขี่อย่างปลอดภัย ควบคู่ไปกับกิจกรรมสำหรับครอบครัวในบรรยากาศคล้ายสวนสาธารณะทั่วกรุงมะนิลา
ก่อนการเปิดตัว M6 Pro จีเอซียังเปิดตัวรถยนต์รุ่น M8 สู่ตลาดฟิลิปปินส์เมื่อหลายสัปดาห์ก่อน สร้างความตื่นเต้นอย่างมากให้แก่ผู้ที่ชื่นชอบรถยนต์ในประเทศ
ด้วยกระจังหน้าที่โดดเด่นและสายเส้นที่เฉียบคม รถยนต์รุ่น M8 ได้รับการออกแบบมาเพื่อลูกค้าที่ให้ความสำคัญกับความหรูหราและสไตล์ในการเดินทางบนท้องถนน ด้วยการประกอบแบบ 2-2-3 รถยนต์อเนกประสงค์ระดับพรีเมียมรุ่นนี้มาพร้อมเบาะนั่งแบบปรับไฟฟ้าในแถวที่ 1 และ 2 พร้อมพื้นที่เก็บสัมภาระแบบพับได้เพื่อความยืดหยุ่นในการใช้งาน ห้องโดยสารขนาดกว้างนำเสนอความหรูหราด้วยหน้าจอสัมผัสมัลติฟังก์ชันขนาด 14.6 นิ้ว และแผงหน้าปัดจอแอลซีดีขนาด 12.3 นิ้ว
M8 และ M6 Pro ถือเป็นรถยนต์รุ่นแรกจากทั้งหมดจำนวนหลายรุ่นที่จีเอซีวางแผนเปิดตัวในปีหน้า การเปิดตัวรถยนต์ทั้งสองรุ่นทำให้จีเอซีพร้อมที่จะกำหนดมาตรฐานใหม่สำหรับกลุ่มรถยนต์อเนกประสงค์ระดับหรูของฟิลิปปินส์ และถือเป็นอีกก้าวสำคัญในภารกิจการขับเคลื่อนความสำเร็จทั่วโลก
สิงคโปร์ 28 มีนาคม 2567 /พีอาร์นิวส์ไวร์/ -- แกรนด์ ไซโก เอเชีย แปซิฟิก (Grand Seiko Asia Pacific) ได้จัดงานนิทรรศการ "Alive in Time through the Five Senses" ระหว่างวันที่ 15-18 มีนาคม ณ อาคาร 72-13 โดยต้อนรับแขกจำนวน 150 ท่าน อีเวนต์ส่วนตัวระยะเวลาสี่วันนี้ได้จัดขึ้นครั้งแรกในกรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น เมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา โดยจัดแสดงประวัติศาสตร์ของแบรนด์ งานฝีมือ นวัตกรรม ศิลปะในผลิตนาฬิกา ตลอดจนวัฒนธรรมและมรดกของญี่ปุ่นผ่านการเดินทางอันดื่มด่ำที่ปลุกเร้าประสาทสัมผัสทั้งห้าอันประกอบด้วยภาพ เสียง สัมผัส รส และกลิ่น
ในตลอดระยะเวลากว่า 60 ปี แกรนด์ ไซโกได้เป็นผู้นำด้านการผลิตนาฬิกามาโดยตลอด ทั้งยังมีพัฒนาการอย่างต่อเนื่องทั้งในแง่ของการออกแบบ วัสดุ และกลไก ทั้งยังมากไปด้วยประวัติศาสตร์แห่งความเป็นเลิศอันยาวนาน ซึ่งทำให้แบรนด์ได้ก้าวขึ้นมาเป็นสัญลักษณ์แห่งความแม่นยำ คุณภาพ และความงดงามเหนือกาลเวลา ปรัชญา "The Nature of Time" ของแกรนด์ ไซโกได้ส่งเสริมความมุ่งมั่นในการรังสรรค์เรือนเวลาที่ก้าวข้ามการบอกเวลา และแสดงออกถึงจิตวิญญาณแห่งกาลเวลาแบบญี่ปุ่น และความภาคภูมิใจของทาคูมิ (Takumi)
"Alive in Time" เป็นข้อความสื่อสารใหม่จากแบรนด์แกรนด์ ไซโก ซึ่งแสดงออกถึงพลวัตและความมุ่งมั่นของแบรนด์ในฐานะผู้ผลิตนาฬิกาหรูในการพัฒนาและผลักดันขอบเขตของการผลิตนาฬิกาไม่หยุดยั้ง ซึ่งดึงดูดผู้ที่อาศัยอยู่ในปัจจุบันและเปลี่ยนแปลงตนเองอย่างไม่หยุดยั้งอย่างต่อเนื่อง
ในโซนภาพ ผู้เข้าชมจะได้รู้จักกับกลไกที่เป็นรากฐานของนาฬิกาของแกรนด์ ไซโก อันได้แก่ 9S Mechanical, 9R Spring Drive และ 9F Quartz พร้อมการสาธิตประกอบกลไก 9S และ 9R โดยช่างทำนาฬิการะดับปรมาจารย์ที่โดดเด่นของเรา คุณซาโตชิ ฮิรากะ (Satoshi Hiraga ) และคุณอิคุคิโยะ โคมัตสึ (Ikukiyo Komatsu)
นาฬิกา Kodo Constant-Force Tourbillon ที่ได้รับการยกย่องอย่างสูงเป็นนาฬิกากลไกระดับความซับซ้อนสูงเรือนแรกของแกรนด์ ไซโก ซึ่งได้รับรางวัล Chronometry Prize (โครโนเมทรี ไพรซ์) ในงาน Grand Prix d'Horlogerie de Genève (กรังด์ ปรีซ์ ดอร์โลเฌรี เดอ เฌอเนฟ) ประจำปี 2565 และเป็นดั่งไฮไลท์ของโซนเสียง ในระหว่างการเดินทางไปกับเสียงนี้ ผู้เข้าชมจะได้พบกับวิธีการประกอบชิ้นส่วน 340 ชิ้นเข้าด้วยกัน หลังจากนั้น เสียงอันบริสุทธิ์ของท่วงทำนอง 16 จังหวะของ Kodo (โคโดะ) หรือ "การเต้นของหัวใจ" ในภาษาญี่ปุ่น ผ่านพื้นที่ที่มอบประสบการณ์อันดื่มด่ำที่กลมกลืนกับเอฟเฟกต์แสง
ในโซนสัมผัส ผู้เข้าชมรับเชิญให้เพลิดเพลินไปกับการสำรวจเรือนเวลาอันโดดเด่นของแกรนด์ ไซโก ซึ่งแต่ละเรือนได้รับแรงบันดาลใจจากความงามอันเงียบสงบของธรรมชาติ พื้นที่แบบอินเทอร์แอคทีฟช่วยเปิดโอกาสให้ผู้เข้าชมได้ลอง และสัมผัสประสบการณ์ความแม่นยำ คุณภาพ และความงามของนาฬิกาแต่ละเรือนในแบบที่เป็นส่วนตัว นอกจากการจัดแสดงแล้ว สวนเซนที่สร้างขึ้นอย่างพิถีพิถันยังเป็นฉากหลังอันเงียบสงบสำหรับการถ่ายภาพอีกด้วย การผสมผสานระหว่างแรงบันดาลใจของธรรมชาติและศิลปะของศาสตร์แห่งนาฬิกาที่ลงตัวช่วยให้ผู้เข้าชมดื่มด่ำกับช่วงเวลาได้อย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้น พร้อมกับเชื้อเชิญแต่ละคนได้สัมผัสกับจิตวิญญาณของแกรนด์ ไซโกที่มากกว่าตาเห็น
ส่วนต่อมาของนิทรรศการคือโซนรสและกลิ่น ซึ่งแบ่งการจัดแสดงออกเป็นสี่ส่วน โดยแต่ละส่วนได้เจาะลึกแรงบันดาลใจเบื้องหลังนาฬิกาแต่ละเรือน ท่ามกลางการนำเสนออย่างราบรื่นที่เข้ากับธรรมชาติอย่างลงตัว การเดินทางจบลงด้วยประสบการณ์อาหารฮัสซันสไตล์ญี่ปุ่น ซึ่งรังสรรค์ขึ้นมาเป็นพิเศษโดยร่วมมือกับเชฟแอรอน (Aeron) จากร้านคัปโป (Kappou) โดยเมนูได้สื่อถึงห้วงของกาลเวลา และการเปลี่ยนผ่านจากฤดูหนาวอันหนาวเหน็บ และการเผยโฉมเพื่อต้อนรับฤดูใบไม้ผลิที่ดอกไม้เริ่มเบ่งบานอย่างอุดมสมบูรณ์
คุณไอดา ไอดริส-โลว์ (Ida Idris-Low) กรรมการผู้จัดการของแกรนด์ ไซโก เอเชีย แปซิฟิก ได้กล่าวถึงความสำเร็จของงานในครั้งนี้ "อีเวนต์นี้ถือเป็นความสำเร็จครั้งสำคัญสำหรับเรา โดยถือเป็นนิทรรศการขนาดใหญ่ครั้งแรกของเราในภูมิภาค และเป็นข้อพิสูจน์ถึงความทุ่มเทที่แน่วแน่ของแกรนด์ ไซโกในด้านงานฝีมือ นวัตกรรม และศิลปะแห่งการผลิตนาฬิกา การนำ "Alive in Time through the Five Senses" มายังส่วนนี้ของโลกไม่เพียงตอกย้ำความสำคัญของเราต่อผู้ที่ชื่นชอบนาฬิกาและลูกค้าของเราที่นี่ แต่เราก็ยังรู้สึกตื่นเต้นที่ได้มอบประสบการณ์อันดื่มด่ำที่เฉลิมฉลองความงดงามอันซับซ้อนของเรือนเวลาของเรา และมีความเชื่อมโยงกับประสาทสัมผัสทั้งห้าของแต่ละคนอย่างใกล้ชิด พร้อมเชื้อเชิญให้พวกเขามาอยู่ในช่วงเวลานี้กับเรา อีเวนต์นี้เป็นสะพานเชื่อมระหว่างเรื่องราวในอดีต และวิสัยทัศน์สำหรับอนาคตของเรา ซึ่งแสดงออกถึงความมุ่งมั่นของเราในการสร้างแรงบันดาลใจ และเป็นผู้นำในโลกแห่งการผลิตนาฬิกาหรู"
เกี่ยวกับแกรนด์ ไซโก
แกรนด์ ไซโก (Grand Seiko) ก่อตั้งขึ้นในปี 2503 และมีชื่อเสียงยาวนานในฐานะแบรนด์นาฬิกาหรูชั้นนำที่มีสาวกผู้ติดตามในประเทศญี่ปุ่น ในปี 2553 แกรนด์ ไซโกได้ขยับขยายการดำเนินงานไปทั่วโลก ซึ่งช่วยให้ผู้ชื่นชอบนาฬิกาทั่วโลกสามารถเข้าถึงเรือนเวลาอันโดดเด่นได้
แกรนด์ ไซโกได้สร้างความโดดเด่นในฐานะหนึ่งในผู้ผลิตนาฬิกาแบบครบวงจรเพียงไม่กี่รายในทั่วโลก ทั้งยังมีขีดความสามารถในองค์กรที่ครอบคลุมไปถึงกระบวนการผลิตนาฬิกาทั้งหมด ซึ่งรวมไปถึงการพัฒนาวัสดุชิ้นส่วน การออกแบบ การผลิต การประกอบ และการปรับแต่งอย่างละเอียดถี่ถ้วน โดยทั้งหมดนี้ได้รับการกำกับดูแลอย่างพิถีพิถันเพื่อรักษามาตรฐานคุณภาพสูงสุด
นาฬิกาแกรนด์ ไซโกแต่ละเรือนเป็นข้อพิสูจน์ถึงศิลปะ และความแม่นยำของช่างฝีมือทักษะสูงที่ประกอบและปรับแต่งนาฬิกาทุกชิ้นอย่างพิถีพิถันด้วยมือในสตูดิโอเฉพาะในญี่ปุ่น นาฬิกาเหล่านี้ได้แสดงออกถึงหลักการพื้นฐานของการผลิตนาฬิกา: ความแม่นยำ อ่านเวลาได้ง่าย ความทนทาน และความสะดวกในการใช้งาน
เรือนเวลาแกรนด์ ไซโก โดดเด่นด้วยความเรียบง่ายอันหรูหราและงานฝีมือที่พิถีพิถัน โดยให้ความสำคัญกับสุนทรียศาสตร์แบบญี่ปุ่นเป็นหลัก การผสมผสานอันเป็นเอกลักษณ์นี้ทำให้แกรนด์ ไซโกมีความโดดเด่นในการรังสรรค์ความงดงามอันแสนวิเศษที่ไร้ที่ติ ซึ่งกำหนดนิยามให้กับแบรนด์
https://www.grand-seiko.com/sg-en
ข้อมูลเชิงลึกใหม่นี้ถูกเปิดเผยในที่ประชุมด้านจอแสดงผลของเกาหลีประจำฤดูใบไม้ผลิปี 2567 (Omdia Korea Display Conference Spring 2024) โดยคุณไอรีน โฮ (Irene Heo) หัวหน้านักวิเคราะห์ ฝ่ายงานด้านจอแสดงผลของออมเดีย ได้ให้ข้อมูลอัปเดตเกี่ยวกับเทคโนโลยีฟิล์มออปติกสำหรับจอภาพและตลาดในปี 2567 ว่า: "เมื่อพิจารณาจากสภาวะตลาดแล้ว ออมเดียคาดการณ์ว่าความต้องการโพลาไรเซอร์ในปี 2567 จะมากกว่าปี 2566 ท่ามกลางความไม่แน่นอนในอุตสาหกรรม" ขณะที่การลงทุนด้านโพลาไรเซอร์ที่ได้รับแรงหนุนจะส่งผลให้กำลังการผลิตเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยคุณโฮเน้นย้ำว่า การถือครองกำลังการผลิตของจีนคาดว่าจะสูงถึงเกือบ 70% ภายในปี 2570 พร้อมเสริมว่า "การแข่งขันด้านราคาที่รุนแรงและการใช้สายการผลิตที่มีความกว้างเป็นพิเศษ จะส่งผลให้สายการผลิตเก่าปิดตัวลงหรือมีการปรับโครงสร้างเร็วขึ้น"
การประชุมระยะเวลาสองนี้ เป็นเวทีสำหรับผู้เชี่ยวชาญอาวุโสในอุตสาหกรรม ที่ซึ่งนักวิเคราะห์จอแสดงผลของออมเดียได้นำเสนอบทวิเคราะห์ที่ครอบคลุมเกี่ยวกับแนวโน้มและการพัฒนาล่าสุดที่จะกำหนดอนาคตของอุตสาหกรรมจอภาพและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์สำหรับผู้บริโภค
การอภิปรายหลักในการประชุมเจาะลึกเกี่ยวกับเทคโนโลยีการแสดงผลที่เกิดขึ้นใหม่ โดยให้ความกระจ่างเกี่ยวกับผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นและการส่งสัญญาณของตลาด ทั้งนี้ คุณเจอร์รี่ คัง (Jerry Kang) ผู้จัดการฝ่ายวิจัยของออมเดีย ระบุว่าจอแสดงผล OLED มีแนวโน้มขยายขนาดพื้นที่ในแง่ของการใช้งานและปัจจัยทางกายภาพต่าง ๆ โดยได้แรงหนุนจากความก้าวหน้าของเทคโนโลยี OLED คุณคังยังเน้นย้ำว่า "การเพิ่มขนาดจอแสดงผล OLED เป็นการพัฒนาที่สำคัญ" ในการขับเคลื่อนการเติบโตของอุตสาหกรรม นอกจากนี้ ออมเดียยังชี้ให้เห็นว่า ความสามารถในการประหยัดพลังงาน การแยกแสงที่สูงขึ้น และความสามารถในการปรับขนาดที่ดีขึ้น ยังเป็นอีกปัจจัยสำคัญที่ขับเคลื่อนอุตสาหกรรมจอแสดงผล OLED ในปี 2567
การประชุมดังนี้ยังตอกย้ำบทบาทที่สำคัญของนวัตกรรมและการลงทุนเชิงกลยุทธ์ในการตอบสนองความต้องการที่เปลี่ยนแปลงไปของผู้บริโภคและขับเคลื่อนการเติบโตในภาคส่วนจอแสดงผล เทคโนโลยีการแสดงผลที่เกิดขึ้นใหม่มากมาย เช่น OLED, MicroLED และจอแสดงผลแบบยืดหยุ่น ทำให้ผู้ผลิตมีแนวโน้มที่จะใช้ประโยชน์จากโอกาสใหม่ ๆ เพื่อกำหนดอนาคตของประสบการณ์การรับชม
เรียนรู้ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการประชุมด้านจอแสดงผลของเกาหลีซึ่งจัดโดยออมเดีย รวมถึงงานวิจัยที่นำเสนอในการประชุมฤดูใบไม้ผลิปี 2567 ได้ที่นี่
เกี่ยวกับออมเดีย
ออมเดีย (Omdia) เป็นกลุ่มวิจัยและให้คำปรึกษาด้านเทคโนโลยีในเครือบริษัท อินฟอร์มา เทค (Informa Tech) โดยความรู้เชิงลึกของเราในด้านตลาดเทคโนโลยีประกอบกับข้อมูลเชิงลึกที่นำไปปฏิบัติได้จริง ช่วยให้องค์กรต่าง ๆ สามารถตัดสินใจเรื่องการเติบโตทางธุรกิจได้อย่างชาญฉลาด
ฟาซิฮะห์ ข่าน (Fasiha Khan) อีเมล: Fasiha.khan@omdia.com
]]>